ช่วงนี้ถ้ามองภาพเศรษฐกิจโลก จะเห็นสิ่งหนึ่งที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือ หลายประเทศเลือก ‘อัดเงิน’ เข้าระบบอย่างจริงจัง เพื่อพยุงเศรษฐกิจและรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้
ขณะที่บทบาทของดอกเบี้ย ซึ่งเคยเป็นพระเอกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มลดความสำคัญลง แต่ในจังหวะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยกลับยังโตต่ำ และถูกประเมินว่ายังไม่พ้นจากความเปราะบาง แม้โลกจะเริ่มเดินหน้าเต็มสปีดแล้วก็ตาม
มุมมองนี้สอดคล้องกับการประเมินของ TISCO ESU ที่ชี้ว่า ปี 2569 โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจ ที่ ‘การคลัง’ กลายเป็นเครื่องยนต์หลัก ขณะที่ไทยกลับมีข้อจำกัดมากเกินกว่าจะเร่งตามเกมนี้ได้
[ โลกเปลี่ยนเกม ดอกเบี้ยไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป ]
โดย ‘TISCO ESU’ มองว่า หลังจากเงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มชะลอลง ธนาคารกลางหลายแห่งทยอยลดดอกเบี้ยลงมาใกล้ระดับปกติ ทำให้พื้นที่ของนโยบายการเงินเริ่มจำกัด
สิ่งที่เข้ามาแทน คือการใช้นโยบายการคลังอย่างเข้มข้นสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างชัดเจน รัฐบาลเลือกกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดหย่อนภาษี การเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือน และการจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุน โดยเฉพาะในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งยังคงเป็นธีมร้อนแรงและสร้างอุปสงค์ในประเทศได้จริง
ยุโรปเองก็ไม่ต่างกัน เยอรมนีเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพิ่มงบด้านกลาโหม พร้อมอาศัยสภาพการเงินที่ผ่อนคลายช่วยให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนเริ่มฟื้นตามรายได้ที่แท้จริง
ฝั่งจีน แม้แรงส่งจากการส่งออกจะลดลง แต่รัฐบาลยังใช้นโยบายการคลังเชิงรุก เพื่อกระตุ้นการบริโภค ฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน และยกระดับอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมขยายสภาพคล่องในระบบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจ
ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงที่ ‘รัฐต้องลงมือเอง’ มากขึ้น และไม่รอให้ดอกเบี้ยทำงานเพียงอย่างเดียว
[ ทำไมไทยยังเร่งเครื่องไม่ได้ ]
เมื่อหันกลับมาดูไทย ‘TISCO ESU’ มองภาพกลับต่างออกไป เพราะเศรษฐกิจไทยปี 2569 ถูกประเมินว่าจะเติบโตเพียงราว 1.6% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพมาก และยังอยู่ในภาวะเปราะบาง
แรงกดดันมาจากหลายด้าน ทั้งผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะเห็นผลเต็มปี ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งตามแนวชายแดน รวมถึงภาคการผลิตที่อ่อนแอจากการขาดการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่
ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์หลักอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกก็ไม่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนเหมือนเดิม การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับก่อนโควิด และต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่นและเวียดนาม
[ ข้อจำกัดใหญ่ที่ของไทยคือ ‘หนี้’]
หนึ่งในข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ไทยอัดเงินไม่ไหว คือภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนของไทย แม้จะลดลงบ้าง แต่ยังอยู่ใกล้ 90% ของ GDP ขณะที่หนี้สาธารณะก็เข้าใกล้เพดาน 70% ของ GDP
ตัวเลขเหล่านี้ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐทำได้จำกัดมากขึ้น การบริโภคภาคเอกชนก็ฟื้นตัวได้ช้า เพราะครัวเรือนยังต้องระวังภาระหนี้
ซึ่งหากยังไม่มีการปรับโครงสร้างการใช้จ่ายหรือเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ภาพความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการคลังจะยิ่งชัดขึ้นไปอีก
[ FDI ความหวังที่ยังต้องลุ้น]
‘TISCO ESU’ ประเมินถึงปัจจัยบวกที่ยังพอเห็น คือการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) หากมาตรการ Fast Pass สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนได้ตามเป้าหมาย ก็อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้บางส่วน
แต่ความท้าทายสำคัญคือ ‘ความไม่แน่นอน’ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง การจัดตั้งรัฐบาล และความล่าช้าของงบประมาณปีถัดไป ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ แม้จะสนใจเข้ามาลงทุนก็ตาม
ดังนั้น ในวันที่ประเทศเศรษฐกิจหลักเลือกเร่งเครื่องด้วยการอัดเงินและใช้นโยบายการคลังอย่างเต็มที่ เศรษฐกิจไทยกลับยังติดอยู่กับข้อจำกัดเดิมๆ ที่สะสมมานาน
คำถามสำคัญอาจไม่ใช่แค่ว่า ปีหน้า GDP จะโตได้กี่เปอร์เซ็นต์แต่คือ ไทยจะสามารถปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้ได้ทันหรือไม่ก่อนที่โลกจะทิ้งเราไว้ข้างหลังในเกมเศรษฐกิจรอบใหม่










