ยุคเห่อเทคฯ ตลาดหุ้นพุ่ง ฟองสบู่ AI กำลังจะแตก เหมือนยุคดอตคอม ?

ยุคเห่อเทคฯ ตลาดหุ้นพุ่ง ฟองสบู่ AI กำลังจะแตก เหมือนยุคดอตคอม ?

การเงิน

ปีนี้ทั้งปีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนด้าน Data Center และซอฟต์แวร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะซ้ำรอยฟองสบู่ Dotcom ในอดีตเมื่อกว่า 20 ปีก่อนหรือเปล่า แต่ TISCO ESU ประเมินว่า แม้กระแส AI จะร้อนแรงมาก  แต่โครงสร้างของการเติบโตในรอบนี้ แตกต่างจากยุค Dotcom อย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่เข้าข่ายฟองสบู่ในแบบเดียวกัน

[ ย้อนไปยุค Dotcom ฟองสบู่เกิดจากอะไร ]

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตถูกมองว่าเป็นอนาคตของโลกธุรกิจ บริษัทจำนวนมากเข้าสู่ตลาดหุ้นทั้งที่ยังไม่มีรายได้ที่ชัดเจน หรือยังไม่สามารถสร้างกำไรได้จริง ราคาหุ้นในยุคนั้นปรับขึ้นจาก ‘ความคาดหวัง’ มากกว่าพื้นฐานทางธุรกิจ

ขณะที่การระดมทุนผ่าน IPO เกิดขึ้นอย่างคึกคัก นักลงทุนจำนวนมากเข้าซื้อหุ้นเพราะกลัวตกขบวน หรือที่เรียกว่า FOMO เมื่อเวลาผ่านไป รายได้และกำไรของหลายบริษัทกลับไม่เป็นไปตามที่ตลาดหวังไว้ ฟองสบู่จึงแตก และนำไปสู่การปรับฐานอย่างรุนแรงในตลาดหุ้น

[ แล้ว AI Boom รอบนี้ละ? ]

ในส่วน AI Boom รอบนี้ TISCO ESU มองว่า การปรับขึ้นของตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในรอบนี้ มีความแตกต่างเชิงโครงสร้างจากยุค Dotcom หลายด้าน ได้แก่

ประเด็นแรก คือเรื่องมูลค่าหุ้น ในยุค Dotcom หุ้นเทคโนโลยีมีค่า P/E เฉลี่ยสูงเกือบ 100 เท่า สะท้อนการประเมินมูลค่าที่สูงเกินพื้นฐานอย่างมาก  แต่ในรอบนี้ แม้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะปรับตัวขึ้นแรง ค่า P/E โดยเฉลี่ยยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพการทำกำไรจริงของบริษัท และไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในหุ้นที่ยังไม่มีรายได้เหมือนในอดีต

ประเด็นที่สอง คือกระแส IPO ที่ต่างออกไป เพราะรอบนี้ไม่ได้เห็นการแห่เข้าตลาดหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีแบบสุดโต่งเหมือนช่วงปี 1999–2000 จำนวนและมูลค่าการ IPO ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับยุคนั้น  ภาพนี้สะท้อนว่า การปรับขึ้นของตลาดในรอบ AI Boom ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความตื่นตระหนกหรือการเก็งกำไรแบบไร้เหตุผลเป็นหลัก

ประเด็นที่สาม คือโครงสร้างทางการเงินของบริษัท ต่างจากยุค Dotcom ที่หลายบริษัทพึ่งพาหนี้เป็นหลัก บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในปัจจุบันมีงบดุลที่แข็งแรง ใช้เงินสดลงทุน และมีสภาพคล่องสูง สัดส่วนหนี้ต่อมูลค่าตลาดของบริษัทในดัชนี S&P 500 ลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินที่แตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน

[ สภาพคล่องและเครดิตยังไม่ส่งสัญญาณอันตราย ]

อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของ AI Boom ต่างออกไปจากยุค Dotcom คือ สภาพคล่องในระบบการเงินยังคงอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุน Credit Spread ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่สะท้อนความตึงเครียดในตลาดตราสารหนี้

ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง และภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลายสถานการณ์นี้แตกต่างจากช่วงก่อนฟองสบู่ Dotcom แตก ซึ่งตลาดการเงินเริ่มส่งสัญญาณเปราะบางก่อนการปรับฐานจะเกิดขึ้น

นอกจากโครงสร้างทางการเงินแล้ว แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเป็นอีกแรงหนุนหลัก
TISCO ESU ประเมินว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทในดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มเติบโตในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ตราบใดที่กำไรยังสามารถขยายตัวได้จริง ความเสี่ยงที่ตลาดจะเผชิญการปรับฐานรุนแรงในลักษณะฟองสบู่แตกก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะราคาหุ้นยังมีพื้นฐานรองรับจากผลประกอบการ

[ แล้ว  AI Boom ยังเสี่ยงไหม ]

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่า AI Boom ดูไม่น่ากังวลนัก งั้นแปลว่า AI Boom ไม่มีความเสี่ยงเลยใช่ไหม คำตอบคือ ‘ไม่ใช่’

เพราะแม้โครงสร้างโดยรวมจะแข็งแรงกว่าอดีต แต่ตลาดยังสามารถผันผวนได้ตามวัฏจักร โดยเฉพาะหุ้นบางตัวที่มูลค่าเริ่มตึงตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนในรอบนี้ไม่ได้มีลักษณะเดียวกับฟองสบู่ Dotcom ที่ขับเคลื่อนด้วยความคาดหวังล้วนๆ

ดังนั้น บทสรุปของ AI Boom รอบนี้ อาจไม่ใช่ฟองสบู่แบบ Dotcom อย่างที่หลายคนกังวล แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่ขึ้นได้ทางเดียวโดยไม่มีสะดุดเลย เพราะตลาดยังมีโอกาสผันผวนตามธรรมชาติของการลงทุน

แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานยังแข็งแรง งบดุลมั่นคง สภาพคล่องยังเอื้อ และกำไรยังเติบโตได้จริง  ภาพของ AI Boom ในรอบนี้จึงมีความยั่งยืนมากกว่ายุคฟองสบู่ในอดีตที่ผ่านมา

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง