ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการบินของไทยเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ จนนำมาสู่การก่อตั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. ในปี พ.ศ. 2558 ภารกิจหลักคือการพลิกโฉมการกำกับดูแลให้ได้มาตรฐานสากล และ “กอบกู้” ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เคยวิกฤต

สำนักข่าว TODAY มีโอกาสได้พูดคุยกับ พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT ถึงความภาคภูมิใจครั้งสำคัญ แม้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเพียง 8 เดือน แต่ได้นำพา CAAT ไปถึง “หมุดหมายสำคัญ” ได้อย่างน่าทึ่ง
[พลิกเกมสำเร็จ ไทยกลับสู่ Category 1 พร้อมย้ำความสำเร็จด้วยผลตรวจสอบ ICAO USOAP ด้วยคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 20%]
งานที่สำคัญที่สุดของ CAAT และเป็นเหมือน “การกู้ชื่อเสียง” ของประเทศคือการที่สามารถยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการบินให้กลับมาทัดเทียมสากลได้สำเร็จ หลังประเทศไทยเคยถูกองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) ลดระดับมาตรฐานความปลอดภัยลงสู่ Category 2 ผลจากการทำงานอย่างหนักของบุคลากร CAAT ส่งผลให้ไทยปลดล็อคและกลับสู่ Category 1 ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2568
ความสำเร็จของการกลับสู่ Category 1 ถูกตอกย้ำด้วยผลงานล่าสุด จากการตรวจสอบระบบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยการบินพลเรือน ภายใต้โครงการ USOAP CMA (Universal Safety Oversight Audit Programme – Continuous Monitoring Approach) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ไทยสามารถคว้าคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 91.35% ที่สำคัญคือ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 20% และสูงกว่าประเทศชั้นนำหลายประเทศ

พล.อ.อ.มนัท เล่าถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า ความภาคภูมิใจของ CAAT คือการที่เราสามารถ “กู้ชื่อเสียง” กลับคืนมาได้สำเร็จภายในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะการ “ทบทวนและปรับปรุงกฎหมาย” ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สิ่งที่สำคัญคือการที่ CAAT ได้รับอำนาจในการกำกับดูแลด้าน Safety และ Technical อย่างเต็มรูปแบบทำให้สามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ได้
“ผมมีแนวคิดการทำงานที่ว่า ‘ทุกคนต้องทำงานให้คนอื่นมีความสุข’ มาใช้ในการบริหารจัดการภายใน เพื่อสลายกำแพงระหว่างหน่วยงาน และเน้นการทำงานร่วมกันเป็นระบบ ส่งผลให้การเตรียมตัวสำหรับการตรวจ USOAP ที่ใช้เวลาในการเตรียมตัวถึง 8 เดือน การลงรายละเอียดทุกจุดบวกกับการบริหารจัดการที่เน้นการประสานงาน ทำให้ไทยสามารถปลดธงแดง และทำคะแนนความปลอดภัยได้สูงกว่าประเทศชั้นนำหลายประเทศ”
[สร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบสู่ Aviation Hub ให้เป็นมากกว่าแค่จุดพัก แต่คือจุดหมาย]
ด้วยคะแนนความปลอดภัยที่สูงกว่ามาตรฐานโลก ประเทศไทยถูกมองว่าเป็น “ประเทศแนวหน้า” ในด้านการบิน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นอย่างสูงให้กับนักลงทุนต่างชาติ
พล.อ.อ.มนัท เผยถึงกลยุทธ์ที่ CAAT กำลังผลักดันให้ไทยเป็น Aviation Hub ที่ไม่ใช่แค่จุดเปลี่ยนเครื่อง แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่ครบครันพร้อมโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก
-
- MRO (Maintenance, Repair, and Overhaul) ส่งเสริมให้มีศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่ได้มาตรฐานสูง เพื่อรองรับสายการบินที่ต้องการซ่อมเครื่องบิน ไม่ต้องรออะไหล่จากที่อื่น ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นจุดแวะพักและซ่อมบำรุงที่น่าสนใจ
- Cargo Hub พิจารณาถึงการเพิ่มศูนย์กลางการขนส่งสินค้าไปยังสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเพิ่มพื้นที่และลดความหนาแน่นที่สุวรรณภูมิ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กระจายสินค้าทางอากาศที่แท้จริง
- Private Jet Terminal และ Global Entry อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนรายใหญ่ด้วยการสร้าง Private Jet Terminal และปรึกษากับ TSA ของสหรัฐฯ ในการพิจารณาเรื่อง Global Entry เพื่อช่วยลดขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะดึงดูดให้ไทยกลายเป็นจุดเชื่อมต่อ (Transit Hub) ของผู้โดยสารในภูมิภาคนี้ ที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ สำหรับเที่ยวบิน Non-Stop
- การบริหารจัดการด้านบุคลากร สร้าง “ศูนย์ฝึกขั้นสูง (Excellence Center)” เพื่อพัฒนาบุคลากรการบินให้มี ” ใบรับรอง (License)” ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะทำให้บุคลากรกลุ่มนี้มีรายได้สูงขึ้นและอยู่กับอุตสาหกรรมได้นานขึ้น เป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงในอนาคตสำหรับอุตสาหกรรมการบิน
“เราต้องทำให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นเหมือน ‘ปั๊มน้ำมันครบวงจร’ หรือ Premium Gas Station ซึ่งต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เหนือกว่าความคาดหวัง เพื่อดึงดูดให้ผู้เดินทางตัดสินใจแวะพักและใช้บริการ”
[ผลักดันไทยสู่ “ผู้นำนวัตกรรมการบิน” ของโลก]
CAAT ไม่ได้หยุดเพียงแค่การฟื้นฟูมาตรฐาน แต่กำลังผลักดันไทยให้เป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรมการบิน” ด้วยการการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีการบินที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่
พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า “เรากำลังผลักดันเรื่อง อากาศยานยุคใหม่ (Advanced Air Mobility – AAM) เช่น อากาศยานไฟฟ้าขึ้นลงแนวดิ่ง (eVTOL) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มาแทนที่เฮลิคอปเตอร์มีความปลอดภัยสูงและเงียบ ซึ่งเราได้สาธิตการใช้งานแล้ว และมีสายการบินที่พร้อมจะนำมาใช้เพื่อเสริมบริการเชิงพาณิชย์ เช่น การเชื่อมต่อจากสนามบินเข้าสู่กรุงเทพฯ หรือไปจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะช่วยลดการจราจรบนพื้นดินและสร้าง Ecosystem ใหม่”

ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ การขนส่งทางอากาศยุคใหม่ด้วยโดรน” (The New Era of Drone Delivery) เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการนำโดรนมาใช้ในการขนส่งทางอากาศยุคใหม่ในภาคธุรกิจและกิจการต่าง ๆ ล่าสุดมีการสาธิตรูปแบบการขนส่งและแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับบริหารจัดการจราจรทางอากาศแบบครบวงจร โดยนำร่องทดสอบการใช้โดรนขนส่งสินค้าทางการเกษตรจากบนดอยลงมาพื้นที่ราบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ถึง 30% และยังช่วยเกษตรกรลดการเผาป่าอีกด้วย เนื่องจากการขนส่งในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถปลูกพืชที่มีความเสียหายจากการขนส่งได้ง่าย เช่น องุ่น ทำให้เกษตรกรต้องปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย ซึ่งจะต้องเผาซากหลังการเก็บเกี่ยว ก่อให้เกิดมลพิษ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เรากำกับดูแลสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันได้

“ผมมองว่าการใช้บริการนี้มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมจริงภายใน 6 เดือน เริ่มจากจุดที่ปลอดภัยและง่าย ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากนัก การบินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ส่งของจากไอคอนสยามไปเอเชียทีค ซึ่งเป็นการบินข้ามน้ำโดยตรงและรบกวนผู้คนน้อย และเมื่อเกิดผลสำเร็จขึ้นในจุดหนึ่งแล้ว ทุกคนจะต้องการใช้งานและเทคโนโลยีนี้ก็จะสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว”

ความมุ่งมั่นในด้านนวัตกรรมการบินนี้ส่งผลให้ไทยได้รับเกียรติจาก ICAO ให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Advance Air Mobility Symposium (AAM) 2026 ซึ่งจะมีผู้แทนและผู้เข้าร่วมประชุมจากมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก เดินทางมาร่วมงานนี้ในประเทศไทย เป็นการตอกย้ำว่า CAAT ได้ก้าวข้ามจากการเป็นผู้ตามสู่การเป็นผู้นำทางด้านการบินยุคใหม่ในระดับโลก
CAAT ได้สนับสนุนและเสริมสร้างอุตสาหกรรมด้านการบินของไทยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพร้อมแล้วที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่ทศวรรษแห่งความเป็นผู้นำและศูนย์กลางนวัตกรรมการบินแห่งภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป










