หลายคนมองว่าอาหารไทยเป็น Soft Power มีหลายเมนูที่คนทั่วโลกรู้จัก แต่สำหรับ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ประธานและผู้ก่อตั้งโครงการ Chef Cares มองว่าเสน่ห์ของอาหารไทยสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้หลากหลายมุมมอง และสร้างสรรค์ในมุมอื่นๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ได้ โดยเฉพาะในเชิงสังคม การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งใหม่ ความเท่าเทียมเรื่องเพศ หรือแม้แต่โอกาสครั้งที่สองของใครบางคน
‘TODAY Bizview’ มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ นอกจากจะเป็นผู้ปลุกปั้นโครงการ Chef Cares อาหารสำเร็จรูปที่ปรุงโดยเชฟดัง เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันศิลปะร่วมสมัย Khao Yai Art Forest พื้นที่โอโซนซึ่งเต็มไปด้วยงานศิลปะระดับโลกที่ จ.นครราชสีมา รวมทั้งยังเป็นผู้ทำให้เกิดอาร์ตสเปซ Bangkok Kunsthalle (บางกอก คุนสตาเล่อ) หอศิลป์ที่ปรับจากอาคารโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชย่านเยาวราชมาเป็นพื้นที่แสดงศิลปะในกรุงเทพฯ

[ เพราะมีโควิด-19 จึงเกิดเป็น Chef Cares ]
โครงการ Chef Cares เริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 2563 ถือเป็นเส้นทางการเติบโตของ Chef Cares ตลอด 5 ปีที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ จากช่วงเริ่มต้นที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการระบาดของโควิด-19
มาริษา เล่าย้อนไปช่วงเวลานั้นว่า “ช่วงโควิด-19 ทำให้เราได้คิดว่าเรามีสิ่งไหน หรือมีอะไรที่มากกว่าคนอื่น ในขณะที่คนอื่นลำบาก เราก็คิดว่าเราจะต้องคืนอะไรให้กับสังคมบ้าง ไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ทั้งหมดนี้ของ Chef Cares ก็เหมือนมาจากความรู้สึกขอบคุณ”
“ตอนนั้นมีเชฟที่เรารู้จักชื่อ เชฟวุฒิศักดิ์ อยู่ที่ภูเก็ต ได้ขอความช่วยเหลือเพราะเขาอยากจะทำอาหารบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งเราก็ได้ให้วัตถุดิบไป ผ่านมา 3 วันเราก็คิดว่าอยากจะร่วมด้วย อยากจะต่อยอดไอเดียนี้ที่กรุงเทพฯ”

สำหรับ มาริษา มองว่า Chef Cares คล้ายเป็นโปรเจ็กต์ charity (การกุศล) นอกจากจะได้ช่วยเหลือบุคลากรที่เดือดร้อน ก็ยังเป็นการช่วยเชฟมิชลินด้วยในทางกลับกัน เพราะช่วงโควิด-19 ที่ร้านอาหารต้องปิดตัวลงชั่วคราว ทั้งที่ลงทุนกับร้านไปก็เยอะ เชฟมิชลินเหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
“เราเกิดไอเดียขึ้นว่า เราอยากจะเป็นคนกลางประสานระหว่างเชฟมิชลินเพื่อมาทำอาหาร แล้วอาหารที่ส่งออกไปก็เกิดจากความห่วงใยของเชฟ เราจึงเรียกว่า ‘Chef Cares’ เราเป็นเพียงตัวเชื่อมเท่านั้น”
กว่า 3 เดือนที่ มาริษาพูดคุย ประสานงาน ขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็เกิดเป็น ‘มูลนิธิเชฟแคร์ส’ ขึ้นมา โดยกำไรจากยอดขาย 100% จะอยู่ที่มูลนิธิเพื่อซัพพอทกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือต่อไป

[ อาหารไทย = มรดกทางอาหาร มนต์เสน่ห์ที่ทั่วโลกต้องรู้ ]
ด้วยความที่เริ่มต้นคลุกคลีอยู่กับเรื่องของ ‘อาหาร’ มาริษา อยากสร้างระบบการช่วยเหลือให้ยั่งยืน เป็นรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคมโดยสมบูรณ์ เธอจึงนำเรื่องอาหาร และแพชชั่นของเด็กๆ มารวมกัน เพื่อทำให้อาหารไทยกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมสู่สายตาชาวโลก
“Chef Cares เกิดจากความตั้งใจที่เราอยากจะโปรโมทอาหารไทยออกไปทั่วโลก พร้อมกับน้ำใจคนไทย เราเห็นว่าในต่างประเทศมีเมือง Gastonomy (ศาสตร์และศิลปะแห่งการกินอาหาร) เช่น โคเปนเฮเกล, ลอนดอน, ญี่ปุ่น และเมืองไทยเองก็มี คนไทยไม่ใช่แค่เก่งเรื่องการทำอาหาร แต่ใจดี เปิดกว้างด้วย”
ตัวอย่างที่ Chef Cares ต่อยอดกับเด็กๆ ที่มีแพชชั่นเรื่องอาหาร ก็คือ การนำเด็กกลุ่มนี้มาฝึกอาชีพ หากพวกเขาอยากเปลี่ยนตัวเอง มีแพชชั่น เราก็จะรับ แล้วให้เขามาเข้าร่วมโครงการกับปัญญาภิวัฒน์ 3 เดือน
โดย 1 เดือนแรกจะได้เรียนรู้การทำอาหารไทย 1 เดือนถัดไปเป็นอาหารฝรั่ง และ 1 เดือนสุดท้ายจะได้ไปฝึกงานที่ร้านมิชลินอีก 6 เดือน
สำหรับมาริษา มองว่าอาหารไทยไม่ใช่แค่อร่อยแต่มีประโยชน์ด้วย เพียงแต่คนต่างชาติยังไม่รู้ เช่น ผักต่างๆ กระเทียม พริก ฯลฯ ล้วนมีประโยชน์ทั้งหมด ซึ่งเราน่าจะโปรโมทให้ลึกขึ้น มากกว่าเรื่องรสชาติ ต้องเพิ่มสตอรี่ของอาหาร เช่น แกงมัสมั่นไก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 หรือวัตถุดิบที่ใช้มีสมุนไพรที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณทางยา ซึ่ง Chef Cares พยายามจะสื่อสารออกไป

[ ถอดความสำเร็จจาก Korean model ]
เมื่อถามถึงมิติอื่นๆ ที่อาหารไทยสามารถสื่อสารกับทั่วโลกได้มากขึ้น ในความคิดของมาริษา เธอได้ยกตัวอย่างการเพิ่มซีนอาหารไทยในภาพยนตร์ หรือละครเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นโมเดลที่เราคุ้นเคยในซีรีสฺเกาหลีใต้หลายๆ เรื่อง
คำแนะนำจากมาริษา ในระหว่างการสัมภาษณ์ ที่เธอคิดว่าน่าจะใช้ได้กับการโปรโมทอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ได้แก่
- เพิ่มซีนอาหารไทยในบางฉากของเรื่อง ซึ่งต้องมีการกินโชว์ และพูดชื่อเมนูนั้นๆ ด้วย
- สามารถสร้างสรรค์สตอรี่ อาหารไทย คือ ยารักษาโรคอย่างหนึ่งได้ เพราะต่างชาติยังไม่รู้วัตถุดิบ และไม่เข้าใจสรรพคุณจากวัตถุดิบที่อาหารไทยใช้
- Netflix ถือเป็นใบเบิกทางชั้นเยี่ยม ที่จะทำให้อาหารไทยโด่งดังไปไกลกว่าเดิม
เธอกล่าวว่า “คนไทยนิยมทำภาพยนตร์หลายแนว หนังผี หนังสมัยใหม่ หรือหนังย้อนยุค ถ้าสามารถแทรกเมนูอาหารเข้าไปอย่างสร้างสรรค์มากๆ จะเป็นเรื่องดีต่อการโปรโมท”

[ แผนในอนาคตของ Chef Cares ]
มาริษา มักพูดระหว่างสัมภาษณ์อยู่บ่อยๆ ว่าเธอเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ชอบสร้างสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ ซึ่งต้องเป็นประโยชน์ที่มากกว่า 1 ข้อด้วยเธอถึงทำ ดังนั้น Chef Cares ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป เธอได้เล่าว่า
“ตอนนี้เราศึกษาหลายเรื่องที่อยากจะทำกับ Chef Cares เช่น ซีรีส์ซุป โดยจะเป็นแกงหรือซุปต่างๆ ทั้งอาหารไทยแท้ อาหารชาววัง”
“นอกจากนี้ อยากทำ ‘กับข้าว’ เพื่อให้อิสระกับคุณแม่ที่ทำงานหนัก ผู้หญิงไทยเป็นผู้หญิงที่ทำงาน พอกลับมาบ้านก็ดูแลครอบครัวต่อ ดังนั้น กับข้าวเมนูต่างๆ จาก Chef Cares จะสร้างความเท่าเทียมในเรื่องเพศในแง่ของความสะดวกสบาย”

สำหรับวิธีการเลือกเมนูใหม่ๆ จากปัจจุบันที่ Chef Cares มีวางจำหน่ายตอนนี้อยู่ 9 เมนู มาริษา กล่าวว่า มีวิธีการเลือกเมนูหลายแบบ ตั้งแต่ดูจากกระแสว่าคนไทยในช่วงเวลานั้นชอบอะไร ไปจนถึงการหาอินไซต์ทั่วเอเชียว่ากำลังนิยมเมนูไหน โดย Chef Cares จะเลือกทำเมนูที่คนต้องการทาน แต่ทำยาก มีขั้นตอนเยอะ หรือหาทานได้ยาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
ขณะที่ราคาขายจะเริ่มต้นตั้งแต่ 49 บาท ไปจนถึง 79 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเมนูและต้นทุนของวัตุดิบที่ต้องใช้
[ คนเกาหลีหัวใจไทย กับแพชชั่นอาหารไทย และงานศิลปะ ]
ด้วยความที่เป็นนักสะสมมากว่า 30 ปี มาริษา มองว่า จากประสบการณ์ที่เคยเดินไปเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จากทั่วโลก ตั้งแต่อังกฤษ นิวยอร์ก จนถึงฮ่องกง ทำไมไม่มีสถานที่แบบนี้ที่เมืองไทย?
ความสงสัยในวันนั้น กลายมาเป็นเแรงผลักดันในการก่อตั้ง ‘BANGKOK KUNSTHALLE’ พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะแห่งใหม่ในย่านเยาวราช และ Khaoyai Art Forest แหล่งโอโซนที่โอบอุ้มด้วยธรรมชาติและงานศิลปะระดับโลกบนเนื้อที่กว่า 530 ไร่

“ความต่างระหว่างสถานที่จัดแสดงของเรากับเมืองนอก คือ เราอยากจะทำในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ทุกวันนี้เราเต็มไปด้วยข่าวลบๆ เราอยากให้คนที่เดินทางมาเขาใหญ่ ได้รับแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา โดยพวกเขาสามารถหยิบจับได้ทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกดี เรามีหลายสิ่งที่ช่วย เรามีอากาศบริสุทธิ์, เรามีน้ำ, หิน, ไม้, ดิน, พื้นที่ศิลปะ ฯลฯ”
“ที่นี่เรามีอาหาร มีอากาศบริสุทธิ์ มีศูนย์ศิลปชีพที่กำลังจะเข้ามา ฉันทำทั้งหมดนี้เพื่อคนไทย แต่น่าเสียดายที่คนไทยยังมาไม่มาก ซึ่งคนสูงอายุก็เข้าฟรี ทุกๆ อย่างที่ฉันทำ เพื่อคนไทย ฉันทำมาจากหัวใจ จากกำลังและจากเวลาที่ฉันมี”
โดยเธอได้นำผลงานศิลปะจากทั่วโลกเข้ามาจัดแสดงจำนวน 16 ชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือ Mamon แมงมุมยักษ์ศิลปะร่วมสมัยจากศิลปิน Louise Bourgoise ที่สร้างขึ้นจากสเตนเลส 7 ชิ้น

แล้วยังมีผลงานศิลปะชื่อดังจาก Fujiko Nakaya ที่ได้สร้างประติมากรรมหมอก Fog Landscape และผลงานอีกหลายชิ้นที่นี่ เป็นต้น
และเมื่อถามในมิติเรื่อง work-life balance ของมาริษา เธอมีกรอบความคิดอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การเป็นเพื่อนกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจเพื่อให้การทำงานสนุกขึ้น
“การบาลานซ์ของดิฉันไม่ใช่ relax 50% ทำงาน 50% เพราะงานเราเยอะมากๆ เราทำไม่ทัน เพื่อนร่วมงาน พาร์ทเนอร์ธุรกิจจึงเป็นเพื่อนที่ฉันพูดคุยได้ คุยเรื่องส่วนตัวด้วย เรื่องงานด้วย ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นไอเดียที่ดีที่สุดสำหรับ เพราะการทำงานมันสนุกขึ้น ฉันได้ไอเดียดีๆ I inspire you, you inspire me.”
นอกจากนั้น การทำเพื่อสังคมก็เป็นการสร้างความสุขอย่างหนึ่ง ดังนั้น เป้าหมายการเติบโตของ Chef Cares อาจจะไม่ได้ชัดเจน เพราะสำหรับมาริษา ยิ่ง Chef Cares เติบโตเท่าไหร่ สังคมก็ได้รับประโยชน์มากเท่านั้น











