‘จูน จรีพร’ WHA ประเทศไม่ได้ถอยหลัง แค่กำลังเปลี่ยนเกียร์

‘จูน จรีพร’ WHA ประเทศไม่ได้ถอยหลัง แค่กำลังเปลี่ยนเกียร์

ธุรกิจ

ภายใต้ภาพที่ผู้คนรู้สึกว่าประเทศไทย ‘เศรษฐกิจไม่ดี งานหายาก’ แต่อีกด้านกำลังมีการลงทุนและอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง จนงานที่ต้องใช้ทักษะสูงเพิ่มขึ้นเร็วมากแต่คนปรับตัวตามไม่ทัน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าไทยไม่ได้ถอยหลัง หากแต่กำลังเปลี่ยนเกียร์ไปสู่รูปแบบเศรษฐกิจใหม่

นี่คือมุมมองของ ‘จรีพร จารุกรสกุล’ ผู้นำหญิงแห่ง WHA ผู้ที่ทำงานอยู่กลางสนามลงทุนระดับภูมิภาค และมองเห็นประเทศไทยในแบบที่ลึกกว่าทั้ง ‘สิ่งที่เป็นจริง’ และ ‘สิ่งที่ควรเป็น’  ซึ่งต่างออกไปจากสายตาของคนทั่วไป

[ คนมองเศรษฐกิจไม่ดี แต่จริงๆ เต็มไปด้วยโอกาส ]

‘จรีพร’ เล่าว่า ในวันที่ข่าวร้ายดังกลบทุกความเป็นไปได้ดีๆ  เศรษฐกิจไทยอาจดูเหมือนประเทศที่หมดแรงจะเดินต่อ แต่เมื่อแหวกม่านหมอกของความรู้สึก เราจะเห็นภาพที่ตรงกันข้ามอยู่ไม่น้อย

เพราะถ้าเราดูจริงๆ จะเจอว่าหลายธุรกิจออนไลน์ทำยอดขายพุ่งถึงหลักร้อยล้านในเวลาแค่ไม่กี่วัน ส่วนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลก็ต้องการคนมากจนหลายองค์กรพูดตรงกันว่า ‘หาคนเก่งไม่ทันแล้ว’

ขณะที่เงินทุนต่างประเทศ (FDI) ก็ยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอุตสาหกรรม EV, Data Center, Electronics และซัพพลายเชนใหม่ๆ

ดังนั้น เศรษฐกิจไทยไม่ใช่ทะเลที่ไร้คลื่น หากแต่เป็นทะเลที่คลื่นกำลังเปลี่ยนทิศและคนที่มองไม่เห็นทิศใหม่นี้ คือคนที่รู้สึกว่าโลกหยุดหมุนเท่านั้นเอง

[ ไทยไม่ได้ถอยหลัง แค่กำลัง ‘เปลี่ยนเกียร์’ ]

ย้อนกลับไปเมื่อ Trade War เริ่มปะทุในปี 2018 โลกธุรกิจพลิกแผ่นดินครั้งใหญ่ โรงงานหลายแห่งเริ่มเคลื่อนย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

บริษัทระดับโลกจำนวนมากมองหา ‘บ้านหลังใหม่’ ที่จะตั้งรากครั้งยาวนาน 10–30 ปี ในแผนที่นั้นประเทศไทยถูกปักหมุดไว้ข้างเวียดนามและอินโดนีเซีย เป็นสามประเทศที่ถูกเลือกให้เป็นฐานการผลิตและฐานเทคโนโลยีของโลกในยุคใหม่

ซึ่งทำให้ในปัจจุบันไทยกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของ 3 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่

1.ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) : จากประเทศที่ผลิตรถสันดาปมานานหลายสิบปี วันนี้ไทยกำลังสร้างซัพพลายเชน EV ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

2.อิเล็กทรอนิกส์ไฮเอนด์ : PCB, Semiconductor และชิ้นส่วนสำคัญของอุปกรณ์อัจฉริยะกำลังถูกผลิตในไทยมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

3.Data Center / AI Infrastructure : กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ของ Data Center ที่กำลังเข้ามาปักฐาน และจะผลักดันไทยสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ลึกและใหญ่กว่าทุกยุคที่ผ่านมา

‘จรีพร’ มองว่าภายใต้ฉากหลังนี้ เศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้ ‘ถอยหลัง’ อย่างที่เราคิด แต่กำลัง ‘เปลี่ยนเกียร์’  ไปสู่โครงสร้างใหม่ที่เราอาจไม่คุ้นชินเท่านั้นเอง

[ 5 กับดักเดิมที่ไทยยังแกะไม่ออก ]

แต่ถึงแม้จะมีโอกาสไหลเข้ามากเท่าไร หากประเทศยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ไม่ตก เราก็อาจได้แค่ ‘ยืนมองโอกาสผ่านไป’ โดย ‘จรีพร’ ชี้ว่าปัญหาใหญ่ที่ถ่วงความสามารถของไทยมี 5 ข้อหลักๆ ที่เชื่อมโยงกันเหมือนโซ่เส้นเดียว นั้นคือ

1. การเมืองที่เปลี่ยนเร็วเกินไป จนไม่มีนโยบายใดได้เติบโตจริงทุกครั้งที่รัฐบาลเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนไปด้วยสิ่งดีๆ ที่ทำไว้โดยรัฐบาลก่อนหน้าถูกยกเลิกเพียงเพราะมาจาก ‘คนละสี’ เศรษฐกิจไม่เคยได้โอกาสต่อเนื่องยาวพอจะเห็นผล

2.ระบบราชการที่ใหญ่ เทอะทะ และขาดแรงผลักดันจากภายใน งบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปกับเงินเดือนประจำขั้นตอนบางอย่างมากเกินความจำเป็น โครงการพัฒนาจึงเดินช้าเกินกว่าที่โลกกำลังต้องการ

3.ระบบการศึกษาที่ผลิตคนไม่ทันยุค AI เรายังสอนแบบเดิม ทั้งที่โลกกำลังเดินด้วยภาษาของข้อมูล อัลกอริทึม และเครื่องจักรอัจฉริยะเมื่อโลกต้องการแรงงานทักษะสูง เรากลับผลิตคนไม่พอ

4.คอร์รัปชั่นและกฎหมายที่บังคับใช้ไม่เสมอภาค นี่คือปัญหาที่รากลึกที่สุด และกัดกินระบบเศรษฐกิจเงียบๆ จนคนดีพยายามน้อยลง และต้นทุนประเทศสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

5. Mindset ของประชาชนและ SME ที่ยังติดอยู่ในโลกเก่าธุรกิจรายเล็กจำนวนมากยังยึดติดวิธีทำงานเดิม ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่ปรับรูปแบบ ไม่ลดต้นทุนและประชาชนส่วนหนึ่งมัวแต่กังวล แทนที่จะเรียนรู้หรือสร้างสรรค์ โลกหมุนเร็วเกินกว่าที่การบ่นจะช่วยอะไรได้อีกแล้ว

ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลหรือบริษัทใหญ่เท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในระบบเศรษฐกิจเดียวกัน

[ สื่อพลังที่กำหนด Mindset ประเทศ ]

อีกเรื่องที่น่าสนใจในมุมของ ‘จรีพร’ คือ ‘สื่อ’  ไม่ได้เป็นแค่ผู้ส่งต่อข่าวสาร แต่คือสถาบันสำคัญที่มีพลังในการกำหนดวิธีคิดของคนทั้งประเทศ จนถึงกับเรียกให้สื่อเป็น ‘องค์ประกอบที่ 6’ ที่ต้องได้รับการปฏิรูปไม่ต่างจากการเมือง ราชการ หรือการศึกษา

เพราะวันนี้ผู้คนเสพแต่ข่าวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสมองไม่เหลือพื้นที่ให้มองเห็นโอกาส พอมีใครพูดเรื่องดี เช่น การลงทุนใหม่จากต่างชาติ ก็กลับไม่มีใครเชื่อ ขณะที่ข่าวร้ายจำนวนมากก็ถูกเล่าแบบไม่ครบถ้วน เพราะแรงจูงใจในการเรียกเรตติ้งมีมากกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม

และยังเชื่อว่าสื่อควรเปลี่ยนบทบาทจากการสร้างความตื่นตระหนก ไปเป็น ‘สื่อที่สร้างสรรค์’ นำเสนอข้อมูลจริงอย่างรอบด้าน ถ่ายทอดความคิดดีๆ และเปิดพื้นที่ให้เสียงที่มีพลังเชิงบวกได้ออกสู่สาธารณะ

เพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ แทนการจมอยู่กับความกลัวเพราะสุดท้าย สื่อไม่ใช่แค่ผู้ชม แต่คือหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่จะช่วยพาประเทศเดินหน้า หรือฉุดให้หยุดอยู่กับที่ก็ได้เช่นกัน

[ ระบบใหม่ต้องการผู้ขับใหม่  ]

ตอนนี้ประเทศไทยอาจเหมือนรถยนต์ ‘ไฮบริดรุ่นเก่า’ ที่ยังพอขับได้ แต่เครื่องยนต์หลักเริ่มอ่อนแรง และระบบเดิมไม่ทันกับความต้องการใหม่ แม้จะติดตั้ง ‘แบตเตอรี่ใหม่’ อย่าง New S-Curve, EV, Data Center และ AI เพิ่มเข้ามาแล้วก็ตาม

คำถามสำคัญคือ คนขับอย่างนักการเมืองและข้าราชการ ช่างซ่อมอย่างระบบราชการและการศึกษา และผู้โดยสารอย่างภาคประชาชนและภาคธุรกิจ พร้อมหรือยังที่จะใช้พลังชุดใหม่นี้ให้เต็มประสิทธิภาพ?

เพราะถ้ายังไม่พร้อม รถคันนี้ก็อาจถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงไปเรื่อยๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไทย ‘แรงกว่าที่ใครคิด’ ท้ายที่สุดแล้ว ไทยไม่ได้ขาดโอกาส เราแค่ยังใช้ศักยภาพของตัวเองไม่เต็มที่เท่านั้นเอง

แท็กที่เกี่ยวข้อง
ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง