ธนาคารแห่งประเทศไทยเดินหน้าทดสอบ CBDC ในภาคธุรกิจต่อเนื่อง ชูจุดเด่นช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม ร่นระยะเวลาโอนเงินข้ามประเทศ ตั้งเป้าเปิดให้ผู้ประกอบการใช้เป็นการทั่วไปได้ภายใน 5 ปีนี้
‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อัปเดตความคืบหน้าโครงการสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. สกุลเงินดิจิทัลสำหรับธุรกิจ (Wholesale CBDC) ซึ่ง ธปท.เห็นศักยภาพว่าบริการดังกล่าวจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่เข้ามาพลิกโฉมการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-border Payment)
ภายหลังจากในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แบงก์ชาติร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (CBUAE) และสถาบันศึกษาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PBC DCI) ทดสอบระบบ Wholesale CBDC
นับเป็นการทดสอบ Wholesale CBDC ในภาคธุรกิจจริงครั้งแรกของโลก ภายใต้โครงการ Multiple Central Bank Digital Currency Bridge (mBridge) ที่พัฒนาต่อยอดจากโครงการ Inthanon-LionRock ระยะที่ 2 ในปี 2564
ในการทดสอบครั้งดังกล่าว มีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมทั้งหมด 20 ราย โดยเป็นธนาคารพาณิชย์จากประเทศไทยจำนวน 5 ราย มีธุรกรรมระหว่างประเทศจำนวน 164 ธุรกรรม คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 22 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 827 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งที่ผ่านมาเป็นความร่วมมือในวงจำกัดเท่านั้น ในอนาคต ธปท.ตั้งเป้าหมายขยายความร่วมมือออกไปเพื่อให้เกิดการใช้จริง (Use Case) ในภาคธุรกิจมากขึ้น
ด้วยจุดเด่นการช่วยลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ รวมถึงช่วยร่นระยะเวลาการทำธุรกรรมจากหลักวันเป็นหลักวินาที
นอกจากโครงการ mBridge ของ ธปท.แล้ว ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ก็ร่วมมือกันทดสอบระบบ Wholesale CBDC ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Dunbar ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และแอฟริกาใต้ หรือโครงการ Jura ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์
‘เราคาดว่า Wholesale CBDC จะเป็น Game Changer ของระบบ Payment และเข้ามาเป็นช่องทางการชำระเงินใหม่สำหรับภาคธุรกิจ นอกเหนือจากระบบ SWIFT ที่ใช้กันในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการกับภาคธุรกิจเป็นการทั่วไปได้ภายใน 5 ปีนี้’
2. สกุลเงินดิจิทัลสำหรับประชาชน (Retail CBDC) ซึ่งกลุ่มนี้แตกต่างจาก Wholesale CBDC เพราะ Use Case ยังไม่ชัดเจน รวมถึงมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มแรก จึงมีลักษณะเป็นโปรเจคเพื่อการเรียนรู้ (Project to Learn) มากกว่าโปรเจคที่จะเปิดให้บริการ (Project to Launch)
ทั้งนี้ เพราะระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของไทยมีความแข็งแกร่งในแง่การเป็นระบบการเงินพื้นฐานอยู่แล้ว Retail CBDC จึงไม่เหมาะกับการพัฒนาระบบระดับพื้นฐาน (Foundation Track) แต่เหมาะกับการพัฒนาระบบระดับนวัตกรรม (Innovation Track) มากกว่า เช่น การโอนเงินแบบตั้งเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนโครงการของภาครัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจ Retail CBDC มากขึ้น ในช่วงสิ้นปี 2565 นี้ ธปท.จะเริ่มดำเนินโครงการนำร่อง (Pilot Project) โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา
รวมถึงสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) 1 แห่ง คือ ทูซีทูพี (2C2P) โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมทดสอบภายในโครงการดังกล่าว 10,000 ราย










