“ภาวะโลก la-la-la-la love you” ท่อนฮิตจากเพลง ‘ภาวะโลก LUV’ ที่ฟังดูสดใสติดหูใครหลายๆ คน กลับชวนให้ฉุกคิดว่า ในวันที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) กำลังทวีรุนแรง ความรักและความสัมพันธ์ของเรา จะยังสดใสเหมือนเพลงนี้หรือไม่?
เวลาพูดถึง climate change สิ่งที่มักถูกนึกถึงก่อน หนีไม่พ้นความเสียหายที่นับเป็นตัวเลข เช่น น้ำท่วมบ้านกี่หลัง มีผู้เสียชีวิตกี่คน สูญเสียทางเศรษฐกิจกี่ล้านบาท แต่ผลกระทบต่อ ‘ความสัมพันธ์’ กลับเป็นมิติที่แทบจะไม่มีใครพูดถึง
ทั้งที่จริงแล้ว โลกที่ร้อนขึ้นกำลังพรากความโรแมนติกออกไปจากชีวิตเราอย่างเงียบๆ ลองจินตนาการถึงการไปปิกนิกกลางแจ้ง นั่งพูดคุยจีบกันท่ามกลางอากาศร้อน จนแทบทนไม่ไหว คงไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่ารื่นรมย์นัก หรือแม้แต่โมเมนต์เล็กๆ ยามค่ำคืนของคู่รัก หลายคู่ก็อาจสัมผัสมันน้อยลง เพราะบรรยากาศโรแมนติกถูกกลืนหายไปพร้อมกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ทำลายแค่บรรยากาศโรแมนติก แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงความเครียดจากภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมักกลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างและรักษาความสัมพันธ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
งานวิจัยพบว่า ช่วงแรกหลังเกิดภัยพิบัติ ผู้คนมักจะหันหน้าเข้าหากัน เกิดน้ำใจและความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การช่วยเหลือมักค่อยๆ เสื่อมถอย และนั่นคือจุดที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน ครอบครัว หรือคู่รักเริ่มสั่นคลอน
เด็บบี ซี. สตอร์ม ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานกับผู้รอดชีวิตจากอาการบอบช้ำทางจิตใจ อธิบายว่า “แม้แต่ในความสัมพันธ์ที่แข็งแรงที่สุดก็อาจสั่นสะเทือนจากความเครียดได้ และสำหรับคู่ที่เปราะบางอยู่แล้ว ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น” นักวิชาการบางส่วนถึงกับคาดการณ์ว่า climate change อาจทำให้อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นทั่วโลก
งานวิจัยอีกจำนวนมากยังชี้ว่า ผลกระทบทางจิตใจหลังภัยพิบัติสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล PTSD และความเสี่ยงฆ่าตัวตาย ทั้งหมดล้วนกัดกร่อนความสัมพันธ์ ตัวอย่างชัดเจนคือ หลังพายุเฮอริเคนแคทรีนา ผู้ชายจำนวนไม่น้อยตกงาน สูญเสียบทบาทเสาหลักครอบครัว จนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งและการแยกทาง ขณะที่อีกหลายครอบครัวความสัมพันธ์ก็พังลงเพราะพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ความโกรธเกรี้ยว คำพูดรุนแรง การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติด
อีกด้านหนึ่ง การสำรวจในหมู่คนรุ่นใหม่ก็ชี้ว่า ความกังวลต่อ climate change เชื่อมโยงกับระดับความสุขและความพึงพอใจในชีวิตที่ลดลง และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์โดยตรง
อย่างไรก็ดี เรื่องราวไม่ได้มีแค่เพียงด้านมืดเสมอไป เพราะ climate change อาจกลายเป็น “ตัวจุดประกาย” ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ๆ เช่น กิจกรรมหาคู่ในนิวยอร์กที่ออกแบบมาเพื่อคนรักสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ เปิดโอกาสให้คนที่มีแนวคิดใกล้เคียงกันได้มาพบกัน หรือแม้แต่แอปหาคู่ ที่เพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้แสดงจุดยืนเรื่อง climate change อย่างชัดเจน
ท่ามกลางวิกฤติภูมิอากาศ คนโสดจำนวนไม่น้อยเริ่มมองหาแฟนที่มีหัวใจ ‘รักโลก’ เหมือนกัน บางคนถึงกับปฏิเสธจะคบหากับคนที่ไม่สนใจปัญหาโลกร้อนเลย ลองนึกถึงคู่รักที่ฝ่ายหนึ่งไม่อยากมีลูกเพราะกังวลอนาคต แต่ฝ่ายอีกคนกลับยืนยันอยากมีลูก ความต่างเพียงเท่านี้ก็อาจกลายเป็นรอยร้าวใหญ่ในชีวิตคู่ได้
แต่อย่าเพิ่งหมดหวังกับความรักและความสัมพันธ์ เพราะท่ามกลางปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ในแง่หนึ่งอาจบั่นทอนความรัก แต่อีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นแรงผลักดันให้คู่รักได้เรียนรู้และพยุงกันในยามยาก ความสัมพันธ์บางคู่พังทลาย แต่บางคู่กลับยืนหยัดแข็งแรงกว่าเดิม และถ้าไม่อยากให้ ‘รักร้าวเพราะโลกร้อน’ ทางออกอาจง่ายกว่าที่คิด แค่เริ่มต้นจากการช่วยกันหยุดโลกร้อน ตั้งแต่วันนี้










