โอกาสของนักลงทุนรายย่อยมาแล้ว รอบนี้เป็นหุ้นของบริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD บริษัทในกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย (SCG)
TODAY Bizview มีโอกาสคุยกับ ‘นำพล มะลิชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD ที่จะมาเล่าถึงเส้นทางธุรกิจและแผนสำหรับการขายหุ้นใหม่ (IPO) ในครั้งนี้
[ เปิดเส้นทาง 44 ปีของ ‘เอสซีจี เดคคอร์’ ]
ธุรกิจของ SCGD เริ่มต้นในปี 2522 บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เข้ามาลงทุนทำธุรกิจกระเบื้องเซรามิก ภายใต้แบรนด์ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีอย่าง COTTO
ถัดมาในปีนี้ 2530 บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจสุขภัณฑ์ รวมถึงมีการลงทุนเพิ่มทั้งในไทยและต่างประเทศในหลากหลายแบรนด์
ไม่ว่าจะเป็น SOSUCO และ CAMPANA ในไทย, PRIME ในเวียดนาม, MARIWASA ในฟิลิปปินส์ และ KIA ในอินโดนีเซีย
ก่อนที่ในปี 2566 จะปรับโครงสร้างธุรกิจและเปลี่ยนชื่อจาก บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด พร้อมแปลงสภาพเป็นมหาชน ภายใต้บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) อย่างที่เห็นทุกวันนี้
[ จากแบรนด์ดัง COTTO สู่หุ้น SCGD]
สำหรับรายละเอียด IPO ของ SCGD บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นใหม่ รวมถึงนำหุ้นเดิมของบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO มาแลกหุ้น (Share Swap)
.
ก่อนเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปรวมจำนวนไม่เกิน 439,100,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 26.61% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
หลังการเสนอขายหุ้น SCGD หุ้นของ COTTO จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหุ้นของ SCGD จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน
[ นักลงทุนรายย่อยจองซื้อ IPO ธ.ค.นี้ ]
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา SCGD เริ่มเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO แล้วที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยชำระค่าตอบแทนเป็นหุ้นเพิ่มทุนของ SCGD ที่ช่วงราคาเสนอขาย IPO สุดท้ายระหว่าง 11.20-11.50 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ SCG และ COTTO ที่ได้รับสิทธิ เริ่มทำการจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 29 พ.ย. – 6 ธ.ค. 2566 ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้น
จากนั้นจะประกาศราคาขายสุดท้ายในวันที่ 6 ธ.ค. 2566 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยจองซื้อได้ในวันที่ 8 และ 12-13 ธ.ค. 2566
[ กางแผน 5 ปี ลงทุนหมื่นล้าน ต่อยอดธุรกิจ ]
สำหรับการเข้าตลาดหุ้นในครั้งนี้ บริษัทฯ แชร์ถึงแผนระยะ 5 ปี (2566-2571) ด้วยงบลงทุนมูลค่ากว่า 11,763 ล้านบาท โดยจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- โครงการลดต้นทุนด้านพลังงานและปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 4,700 ล้านบาท
- โครงการลงทุนเพื่อขยายร้านค้าและสายงานผลิตใหม่ ส่วนนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 4,750 ล้านบาท
- โครงการอื่นๆ ด้านการลดมลพิษและด้านความปลอดภัย รวมถึงงบสำหรับการดูแลรักษา (Maintenance Capex) คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 2,313 ล้านบาท
[ ไม่กังวลตลาดหุ้นไทยผันผวน- IPO ติดลบ ]
เมื่อถามถึงภาวะตลาด บริษัทฯ มองว่า ด้วยวิธีกระจายหุ้นของ SCGD ซึ่งได้สะท้อนถึงเรื่องของการปรับโครงสร้างไปแล้ว จะทำให้นักลงทุนเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตได้ชัดขึ้น
.นอกจากนี้ ในเรื่องของศักยภาพบริษัทฯ SCGD ก็เชื่อว่า บริษัทฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และในอนาคตมั่นใจว่าผลประกอบต่างๆ น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงไม่มีความกังวลต่อการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ และมั่นใจว่านักลงทุนจะเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ อีกด้วย
นับว่าเป็นหุ้น IPO ที่น่าจับตามองมากๆ ในช่วงท้ายปี 2566 ก็คงต้องรอดูกันว่าในวันเปิดซื้อขายหลักทรัพย์วันแรก นักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีมากน้อยแค่ไหน และราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร…










