กระทรวงสาธารณสุข เสนอ ศบค. ปรับพื้นที่ใหม่จากเดิม 2 สี เป็น 3 สี คือ ‘สีแดงเข้ม สีแดง สีส้ม’ หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้น พร้อมสั่งการแต่ละจังหวัดปิดกิจการเสี่ยง และหากจำนวนผู้ป่วยยังเพิ่มขึ้น เตียงผู้ป่วยหนักจะรองรับได้อีกแค่ 1-2 สัปดาห์

วันที่ 25 เม.ย. 2564 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ว่า ปัญหาหลักตอนนี้อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไปจนถึงปัญหาด้านการใช้เตียง จึงมีการประชุมร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งทางกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน โรงเรียนแพทย์ เพื่อปรับวิธีการควบคุมโรคและกระบวนการบริหารจัดการ เพราะหลายภาคส่วน อาจยังเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงมีการพูดคุยเพื่อหารือกัน คาดว่า การบริหารจัดการเตียงจะเป็นไปได้ด้วยดี
ส่วน ปัญหาสำคัญคือ จำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยหนักที่มีข้อจำกัด ขณะนี้ ยังมีเพียงพอ แต่หากการติดเชื้อยังรุนแรงต่อเนื่องเช่นนี้ เตียงผู้ป่วยหนัก จะรองรับได้ 1-2 สัปดาห์จากนี้
สำหรับ ผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง ไปจนถึงไม่มีอาการ ขณะนี้ กรมการแพทย์ ออกมาตรการลดเวลาการอยู่ในโรงพยาบาล ให้เหลือ 10 วัน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเตียงที่คล่องขึ้น ขณะที่ ยาฟาวิพิราเวียร์ จากประเทศญี่ปุ่น จะขนส่งถึงประเทศไทย ในวันที่ 26 เม.ย. 2564 จำนวน 2 ล้านเม็ด
ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในกรุงเทพฯ ตัวเลขยังทรงตัว แต่มีลักษณะฐานที่ใหญ่ขึ้น จะต้องติดตามใน 1-2 วัน ถัดจากนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้พิจารณาเสนอมาตรการต่อ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) เพื่อพิจารณาประกาศใช้มาตรการ 14 วัน คือ
1.ปรับระดับสีจังหวัดจากเดิม 2 สี ให้เพิ่มเป็น 3 พื้นที่ คือ สีแดงเข้ม ให้เป็นจังหวัดควบคุมสูงสุดเป็นกรณีพิเศษ สีแดง และสีส้ม ที่มีจำนวนไม่มาก เนื่องจาก จังหวัดส่วนใหญ่ จะให้กลายเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และสีแดง
2.ขอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ปรับมาตรการในระดับจังหวัด รูปแบบทาร์เก็ตล็อกดาวน์(Target Lock down) ซึ่งเป็นการปิดกิจการ กิจกรรมต่างๆ ที่มีผลต่อการรวมตัวของคนจำนวนมาก โดยทางจังหวัด จะต้องพิจารณาข้อกำหนดต่างๆ ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
ส่วนประกาศของกรุงเทพมหานคร ในการสั่งปิด 31 สถานที่ ซึ่งอาจส่งผลให้ประชาชนเคลื่อนย้ายกระจายสู่ต่างจังหวัด นั้น นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า กิจกรรมต่างๆ ยังคงทำได้พอสมควร และประกาศบังคับใช้ระยะเวลา 14 วัน อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการประเมินสถานการณ์รายวัน ซึ่งหากใน 1-2 วันนี้ มีความรุนแรงมากขึ้นก็จะมีการพิจารณามาตรการที่เข้มมากขึ้นไปอีก










