ความเคลื่อนไหวคดีตำรวจไทยรีดเงินดาราสาวชาวไต้หวัน ฝากขัง ตำรวจ 6 นายแจ้งข้อหาหนัก ชั้นสอบสวนยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
เวลา 13.00 น. วันนี้ (2 ก.พ. 66) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) และ พนักงานสอบสวน ได้ควบคุมตัวตำรวจ 6 นาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีรีดเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ อัน หยูชิง ดาราชาวไต้หวัน ซึ่งได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นข่าวดัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้แบ่งผู้ต้องหา ขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหา จำนวน 2 คัน เพื่อนำตัวตำรวจทั้ง 6 นาย ไปขออำนาจศาลอาญา ฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน จากการสังเกตของผู้สื่อข่าวพบว่า ทั้ง 6 นายสีหน้าวิตกกังวลไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนแม้จะพยายามสอบถามเพื่อให้ได้มีโอกาสชี้แจง
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนในคดีได้คัดค้านประกันตัว เนื่องจากเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูง และเกรงหากผู้ต้องหาได้รับประกันตัวจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ญาติของตำรวจ 6 นาย ได้เตรียมหลักทรัพย์ เพื่อจะยื่นขอประกันตัวผู้ต้องหาในชั้นศาล โดยใช้กรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพ เป็นหลักทรัพย์ ประกอบการพิจารณายื่นขอประกันตัว

ขณะที่ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล เปิดเผยว่า เบื้องต้นในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาทุกคนยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทั้งการแจ้งข้อหา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และมาตรา 149 เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต
ขณะที่ในชั้นสืบสวนที่ผ่านมาทั้ง 6 ให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มีการให้การไปถึงบุคคลอื่น
ส่วนเงินที่รับมาจากนักท่องเที่ยวจำนวน 27,000 บาท เมื่อรับมาแล้วจะมีการแบ่งกันหรือไม่อย่างไรอยู่ระหว่างขยายผล ตอนนี้อยู่ในสำนวนสอบสวนแล้ว
โดยในจำนวน 6 นาย ที่ถูกแจ้งข้อหามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นอกเครื่องแบบ ระดับ “ร.ต.อ.” ที่ มิสเตอร์สกาย พยานชาวสิงคโปร์ ชี้ตัวรวมอยู่ด้วย
ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล บอกด้วยว่า ได้รับความร่วมมือจากกล้องวงจรปิดของภาคเอกชนบริเวณหน้าด่านตรวจ ทำให้เห็นเหตุการณ์ช่วงเกิดเหตุ ที่จะนำมาเป็นพยานหลักฐานในการแจ้งข้อหาได้ รวมถึงพยานที่ให้การเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับหลักฐานที่ตำรวจได้มา ยืนยันในการขยายผลดำเนินคดี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา นิ้วร้ายไหนเสีย ให้ตัดทิ้ง ทั้งนี้ฝากไปยังนายตำรวจ ว่า มันไม่คุ้มและสร้างภาพพจน์เสียหายต่อตำรวจโดยรวมที่ทำงานเพื่อประชาชน










