ผลพวงจากความต้องการน้ำมันที่ลดลง เนื่องจากผู้คนทั่วโลกยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ที่ปิดการซื้อขายเมื่อวานนี้ (20 เม.ย.) ดิ่งลงในระดับต่ำกว่า 0 ดอลลาร์สหรัฐครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ราคาน้ำมันของสหรัฐฯ ดิ่งต่ำกว่า 0 ดอลลาร์โดยลงไปที่ -37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการเปิดตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าไนเม็กซ์เมื่อปี 1983
ทั้งนี้ น้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต กำหนดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ราคาลดลง 55.90 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 306% จากราคาขายในช่วงเปิดตลาดที่ 12.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยปิดการซื้อขายที่ -37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการเปิดตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าไนเม็กซ์เมื่อปี 1983
ส่วนสัญญาของ WTI เดือนมิถุนายนซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 19 พ.ค. ลดลงประมาณ 18% ปิดที่ระดับ 20.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สัญญาเดือนกรกฎาคม ลดลงประมาณ 11% อยู่ที่ 26.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัวหนัก หลังหลายประเทศทั่วโลกใช้มาตรการล็อกดาวน์ควบคุมการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าก่อนหน้านี้สหรัฐฯจะสามารถกดดันให้รัสเซียและซาอุดีอาระเบีย ผู้นำกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก ลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน แต่ก็ยังไม่เพียงที่จะรับมือผลกระทบจากโควิด -19
การดิ่งลงของราคาน้ำมันดังกล่าวเป็นไปตามปัจจัยทางเทคนิค เนื่องจากสัญญาการส่งมอบน้ำมันเดือนพฤษภาคมใกล้หมดเขตแล้ว ขณะที่คนในวงการตลาดมองเห็นแนวโน้มว่าการค้าน้ำมันจะลดลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบที่หดตัวหนัก ตามผลกระทบของโควิด-19 อีกทั้งสถานที่กักเก็บน้ำมันก็ใกล้ล้นเต็มทีแล้ว ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ก่อนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะหมดอายุลง ผู้ค้าต้องตัดสินใจว่าจะยังซื้อน้ำมันจริง หรือเลื่อนสถานะไปเป็นสัญญาของเดือนถัดไปแทน
ทั้งนี้ สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ออกรายงานประจำเดือนระบุว่า วิกฤตการณ์จากแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบทำให้อุปสงค์น้ำมันปี 2020 โดยรวมลดลงวันละ 9.3 ล้านบาร์เรล โดยเฉพาะเดือนเมษายน ที่จะลดลงถึง 29 ล้านบาร์เรลต่อวัน แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1995 ขณะที่ประเทศต่างๆ พากันออกมาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
สอดคล้องกับรายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกปี 2020 ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดว่าจะหดตัว 3% เมื่อเทียบกับประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.3% ซึ่งนับว่าเลวร้ายกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2008-2009 ก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวได้ในปี 2021 ที่ระดับ 5.8% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ขณะที่ผลผลิตของโลกในปี 2020-2021 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์
ด้านโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า การที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส (OPEC+) บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยังนับว่าน้อยเกินไป และไม่มากพอที่จะช่วยชดเชยผลกระทบของอุปสงค์น้ำมันที่ทรุดตัวลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะยังคงร่วงลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากสต็อกน้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าโอเปกพลัสได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตเพื่อลดอุปทานน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม









