เชื่อว่าแทบทุกคนน่าจะเคยรับสายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมาในกลโกงหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าเหยื่อจะไม่ได้มีแค่คนไทย แต่ฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์เหล่านี้ล้อมไทยไว้หมดแล้ว แถมยังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาตั้ง ‘ฐานลอย’ ในประเทศไทยด้วย
กลยุทธ์และปฏิบัติการของตำรวจไทยเป็นอย่างไร ปราบปรามได้มากแค่ไหน รายการ TODAY LIVE ของสำนักข่าว TODAY ชวนพูดคุยกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์
[สแกมเมอร์ล้อมไทยไว้หมดแล้ว]
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ เริ่มต้นให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TODAY ด้วยการยอมรับว่าแหล่งที่ตั้งของฐานปฏิบัติการหลอกหรือ Scam Center อยู่ล้อมรอบประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นชายแดนตะวันตก อย่างเมียวดี ทางเหนืออย่าง ‘คิงส์โรมัน’ และทางตะวันออกอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นปอยเปต สีหนุวิลล์ พนมเปญ บาเวต และสวายเรียง ในประเทศกัมพูชา
โดยลักษณะของ Scam Center หรือ Scam Compound แบบที่กล่าวมานั้นเป็นการตั้งฐานปฏิบัติการแบบถาวร มีการสร้างตึกสร้างอาคารเพื่อเป็นที่ทำงาน พร้อมกับที่พักอาศัย และระบบสาธารณูปโภค
“อาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันเนี่ยยังอยู่ในระดับที่ไม่เพิ่มขึ้น จากที่เคยเฉลี่ยปีที่แล้ววันละกว่า 1,200 คดี ความเสียหาย 200 กว่าล้าน ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1,100 คดี ก็ใกล้เคียงระดับเดิม แต่ไม่เพิ่มขึ้น ลดลงเล็กน้อยนะครับ ผมถือว่าเราประคองสถานการณ์ได้ ในขณะที่รูปแบบการหลอกลวงในปัจจุบันเนี่ยทันสมัยมากขึ้น รวดเร็วมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารที่สะดวกสบาย เทคโนโลยี AI มาใช้ในการหลอกลวง” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
[เหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนกัมพูชาส่งผลให้จำนวนคดีสแกมเมอร์ลดลง ?]
เหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนกัมพูชาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้นมีส่วนทำให้สถิติคดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลง แต่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น หนึ่งในเหตุผลคือยังมีคนไทยที่ยังอยากทำงานที่นั่นอยู่
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่าในช่วงวันแรกที่ของความขัดแย้ง ทางทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เปิดรับให้คนไทยกลับมาบ้าน โดยมีกลุ่มคนไทยซึ่งทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยื่นขอกลับในวันแรกราว 2,000 คน แต่กลับมาจริงๆ เพียงแค่ราว 1,000 คน วันต่อมาได้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย และมีการตกลงหยุดยิง ทำให้ผู้ที่ขอเดินทางกลับประเทศไทยในวันนั้น กลับมาเพียงแค่ 70 คนจากที่ขอกลับราว 2,000 คน ที่เหลือกลับไปทำงานที่เดิม
“คนไทยที่กลับมาแล้วเป็นผู้ต้องหาในคดีหลอกลวงออนไลน์ให้การว่าช่วงนี้ ‘บอสชาวจีน’ ตามที่เขาเรียกกันนะครับ บอกให้ทำ OT มันหมายความว่ายังไงครับ หมายความว่าให้เพิ่มเวลาในการหลอกลวงพี่น้องคนไทยครับ” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
[กลยุทธ์ใหม่ ตั้งฐานในไทย]
การปรับเปลี่ยนรูปแบบฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือเริ่มมีการใช้วิธีการเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทย พล.ต.ท.ไตรรงค์ เรียกรูปแบบนี้ว่าการตั้ง “ฐานลอย” ซึ่งเป็นการเข้ามาโดยวีซ่านักท่องเที่ยว เช่าบ้านพักและย้ายจุดไปเรื่อยๆ เมื่อครบกำหนดวีซ่า 3 เดือน ก็ออกจากประเทศแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่
แก๊งเหล่านี้จะใช้วิธีการไปจดจัดตั้งบริษัทเป็นชื่อไทยซึ่งทำได้ไม่ยากนัก บริษัทจะถูกชื่อให้ดูน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทเทรดหุ้น บริษัทเทรดทอง และไม่ได้มีการดำเนินกิจกรรมใด ยกเว้นการไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินจากการหลอกลวงเหยื่อ
ส่วนการนำเงินที่หลอกลวงได้ออกจากบัญชีนั้น ใช้วิธี ‘ม้ากดเงิน’ โดยตำรวจพบว่ามีการให้เปอร์เซ็นต์คนที่ไปกดเงิน 1.5% ของจำนวนเงิน ซึ่งมีการจัดตั้งกันเป็นธุรกิจ ต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้วิธี ‘บัญชีม้า’ โดยให้คนไทยผู้เป็นเจ้าของบัญชีออกจากประเทศ ข้ามไปแสกนใบหน้าตามข้อกำหนดของแอปพลิเคชันธนาคารในกรณีถอนเงินเกิน 50,000 บาท แต่เมื่อมีการปิดกั้นด่านชายแดนจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธี
“ข้อดีคือเราจับกุมได้ครับ เนื่องจากว่าเราจับกุมจริงจัง…มีการจับกุมครับได้เพิ่มมากขึ้น เดิมเราสกัดกั้นหรืออายัดบัญชีได้ประมาณสัก 10-20% ปัจจุบันขยับขึ้นไป 30-40% การจับกุมพวกออฟฟิศการเงินหรือม้ากดเงิน สมัยก่อนเราจับกุมไม่ได้หรอกครับ เพราะเขาอยู่ประเทศกัมพูชา อยู่นอกประเทศเรา แล้วจะข้ามกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่อันนี้อยู่ในประเทศ เราจับกุมได้ การจับกุมช่วงนี้มีการจับกุมถี่ขึ้นนะครับ แล้วก็ไอ้แก๊งต่างๆ ที่มาตั้งฐานปฏิบัติการคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกมเมอร์ลอยตัว ฐานลอยในประเทศไทยโดนจับหมดครับ เปิดได้ไม่นานแล้วครับ” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
[ใช้ AI มาหลอกให้แนบเนียนขึ้น]
นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติการแล้ว การที่แก๊งอาชญากรรมนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความสมจริงในการหลอกลวง ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องรู้เท่าทั้นให้มากขึ้น
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่าแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้มีหน่วยพัฒนา รูปแบบคล้ายกับบริษัท ทั้งหน่วยพัฒนาบุคคล มีแผนกเทคโนโลยีที่จะนำเอาซอฟต์แวร์และ AI มาใช้ในการหลอกลวงมากขึ้น
“คนร้ายก็มีการลงทุนในการไปซื้อโปรแกรมที่จะเสิร์ชใน Open Source ทั้งหมดเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ ไปซื้อข้อมูลใน Dark Web เสร็จแล้วก็ลงทุนในการเขียน Algorithm เขียนซอฟต์แวร์ในการประมวลผลเอามาใช้ ข้อมูลในการที่จะต้องสนทนาก็มีการทำรีเสิร์ช มีการใช้ AI ในการวิเคราะห์ว่าควรจะใช้ Dialog หรือบทสนทนาประเภทไหน มีการนำเทคโนโลยี AI มาสร้างรูปแบบการหลอกลวงที่แนบเนียนที่เราเรียกว่า Deep Fake การปลอมเสียง ปลอมใบหน้า” พล.ต.ท.ไตรรงค์ เตือนให้เห็นถึงความสมจริงมากยิ่งขึ้นที่ควรรู้เท่าทัน
[เหยื่อไม่ใช่แค่ไทย ต้องอาศัยความร่วมมือในการปราบปราม]
ฐานปฏิบัติการหลอกลวงซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายหลอกแค่คนไทยอย่างเดียว แต่มีเหยื่อจากทั่วโลกที่โดนหลอก ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างตำรวจไทยและประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมาย
หนึ่งในนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ดำเนินตามแนวทางของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ คือการจัดตั้ง ‘วอร์รูม’ หรือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อปฏิบัติการด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันทั้งตำรวจไซเบอร์ ตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจนครบาล ตำรวจภาค 1-9 รวมไปถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคม บริษัทด้านการแลกเปลี่ยนเงินและคริปโทเคอร์เรนซี และสถาบันการเงิน
“เพราะเรารู้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เนี่ยหลอกลวงคนทั้งโลกเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนเกาหลีใต้ คนเวียดนาม คนญี่ปุ่น คนอินโดฯ คนมาเลฯ คนอเมริกา คนทางยุโรป ถูกหลอกลวงที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่แถวนี้ทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยประเทศที่ตกเป็นเหยื่อก็ควรจะมาร่วมมือกัน แล้วถ้าพบว่าข้อมูลของท่านตรงกันกับข้อมูลของไทย ท่านก็จะได้ไปออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องของประเทศท่าน แล้วก็ส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับอินเตอร์โพล ตำรวจสากล เพื่อบังคับใช้กฎหมาย หรือต้องใช้โล่ล้อมพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ได้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดแผนการทำงานร่วมกัน
นอกจากนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้ทำโครงการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทยในการส่งข้อมูลเมื่อพบบัญชีที่มีธุรกรรมต้องสงสัย เมื่อพนักงานสอบสวนของทางตำรวจไซเบอร์พบว่าเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงเป็นบัญชีม้า ก็จะดำเนินการออกหมายอายัดบัญชี และประสานผู้เสียหายให้มาร้องทุกข์ดำเนินคดี
“แต่เงินที่ล็อกได้ก็ไม่ใช่เงินทั้งหมดที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงไป เช่นผู้เสียหายเนี่ยอาจจะถูกหลอกให้โอนเงินไป 2 ล้าน โอนเงินไป 10 ครั้ง แต่เราอาจจะล็อกได้แค่ครั้งเดียว คุณโอนเงินไป 10 บัญชี แต่เราอาจล็อกได้บัญชีเดียว เพราะฉะนั้นเนี่ยวิธีที่ดีที่สุด คือท่านต้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ” พล.ต.ท.ไตรรงค์
ท่ามกลางโครงการมากมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการประชาสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็น ‘Thai Cyber Ranger ไทยรู้ทันหลอก’ นอกจากนั้นยังมีการรณรงค์ด้วย 3 คีย์เวิร์ดสำคัญคือ ‘กดลิ้งก์ = โอนเงินทิ้ง’ ‘คิดก่อนโอนโดนแล้วไม่ได้คืน’ ‘ไม่โลภ ไม่ลน หาคนปรึกษา เพราะรีบโอนโจรยิ้ม’ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ใหักับประชาชน และป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ
“ผมอยากให้พี่น้องประชาชนทุกท่านตระหนักและเชื่อมั่นในหลักการสำคัญข้อหนึ่งคือ บุคคลที่ท่านพบเจอบนโลกออนไลน์ หากไม่ใช่ผู้ที่ท่านรู้จักมาก่อน ควรสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีโอกาสสูงกว่า 50% ที่อาจเป็นมิจฉาชีพ ดังนั้น หากมีการพูดคุยหรือมีการชักชวนให้ท่านลงทุน หรือทำธุรกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินผ่าน Mobile Banking หรือ Internet Banking ท่านต้องหยุดคิด ต้องตั้งข้อสงสัย และไม่โอนทันที” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้าย










