‘พิธา’ ชี้ 3 แกน ‘ประยุทธ์’ ที่แท้จริงคือ ‘3 ทำลาย’ ท้า ‘ประวิตร’ ตรวจเลขเครื่องนาฬิกาหรู ถ้ากล้าทำจะโหวตไว้วางใจ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้สรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ตอนหนึ่งได้กล่าวถึง ‘กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต’ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เคยแถลงไว้ว่า 8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ซึ่งกลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต เมื่อไปดูในรายละเอียดก็พบว่ากลวง เป็นของปลอมที่มีแต่เพียงเปลือก
อย่างแกนที่ 1.โครงสร้างพื้นฐานก็ช้าและมีแต่จะเจ๊ง แกนที่ 2. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มต้นช้าตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ความหวังเป็นศูนย์กลางแทบไม่มีทางเป็นไปได้ และ แกนที่ 3.การเงินการธนาคารที่จะให้คน 30 ล้านเข้าถึงขนาดมีอำนาจเต็มยังทำไม่ได้ อีกทั้งแผนการเงินที่พูดมาก็เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ และขนาดที่ผู้บริหารธนาคารระดับประเทศเองก็บอกว่า งงเป็นไก่ตาแตกกับแผนนี้
“เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุด คือนายกรัฐมนตรีไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับ คือไม่มีความหวัง ท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาแบบนี้ประชาชนต้องการให้นายกเป็นผู้นำที่จะสร้างความหวังกลับมาให้ประเทศ ไม่ใช่ให้ สมช. คิดแผน แล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการ เดี๋ยวก็ตั้งคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการก็ไปตั้งที่ปรึกษา ไม่ได้มีแก่นสาร ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยออกจากวิกฤติได้เลย” นายพืธา กล่าว
สำหรับ 3 แกนที่แท้จริงของประยุทธ์ คือ 3 ทำลาย ได้แก่ 1.ทำลายศักยภาพในประเทศ ผ่านการบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลว ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะมีแต่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหนี้นโยบายและหนี้กองทุนน้ำมันที่ซุกไว้อีกด้วย 2. ทำลายศักยภาพของไทยในต่างประเทศ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ทันโลก ไม่เจนจัดสนามการเมืองโลก ขาดลูกล่อลูกชน และโดยหลักการคือควรวางตัวเป็นกลางเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประเทศกลับไม่ทำ อย่างกรณีเครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลากขึ้นศาลได้ ขณะที่การตั้งผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา ก็ดันไปเอาบุคคลที่มีมลทินเคย มีความผิดเกี่ยวกับความเป็นล็อบบี้ยีสต์มาดำรงตำแหน่ง และ 3.ทำลายศักยภาพประชาชน ซึ่งก็คือการทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกคน ละเมิดสิทธิประชาชนด้วยคดีความที่เป็นการทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่สำคัญคือการแอบอ้างเรื่องสถาบัน ที่ทำให้มีคนจำนวนมากถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
“บทสรุปของ 3 แกนที่แท้จริงคือ โรคระบาดของความสิ้นหวัง ที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของคนหนุ่มสาวอายุ 25-34 ปี ของไทยสูงที่สุดในอาเซียน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โดยสูงกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย กว่าเท่าตัว และสูงกว่าฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ถึง 5 เท่าตัว และถ้าใช้เครื่องมือใหม่ ของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล จากมหาวิทยาลัย Princeton มาชี้วัด ที่ชื่อดัชนี Death of Despair หรือ ความตายจากการสิ้นหวัง พบว่า ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ตั้งแต่ก่อนโควิด คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% จากปีละ 1.4 หมื่นคน เป็นปีละเกือบ 2 หมื่นคน และถ้านำมาดูในช่วงโควิด มีคนไทยตายจากความสิ้นหวังที่รวมการเลือกจะจบชีวิตตัวเองจากการ ฆ่าตัวตาย เสพยาจนตาย กินเหล้าจนตาย ใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมา พบว่ามีมากกว่า 4 หมื่นคน นี่คือโรคระบาดแห่งความสิ้นหวังที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเสียอีก” นายพิธา กล่าว

ตอนหนึ่ง นายพิธา ยังอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปล่อยให้ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีข้อกังขาว่าความสุจริตไม่เป็นที่ปรากฏ พร้อมท้า พล.อ.ประวิตร ไปพิสูจน์เลขเครื่องนาฬิกา (Serial Number) “ท้าคืนนี้ท่านไปที่พารากอนใกล้ที่สุดเลยมีครบทุกยี่ห้อ เอา Serial Number ที่อยู่ในมือผมไปตรวจสอบไม่แน่พรุ่งนี้ผมโหวตไว้วางใจให้พล.อ.ประวิตรด้วย”

นายพิธา ทิ้งท้ายว่า ในยามที่บ้านเมืองบอบช้ำ ข้าวยากหมากแพง ผู้คนสิ้นหวังด้วยวิกฤติที่เราไม่เคยเจอมาก่อนแบบนี้ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องไม่ใช่คนที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ต้องเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ต้องเป็นคนที่รับฟังคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเองและคิดว่าจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกันได้อย่างไร ต้องเป็นคนที่มีความฝันไม่ใช่เพ้อฝัน สามารถบวกทฤษฎีกับการปฏิบัติจนเกิดผลลัพธ์ได้จริง สามารถดึงดูดพลังจากคนหนุ่มสาวเพื่อหาทางไปข้างหน้าไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม










