อีสท์สปริง (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ ตั้งเป้าหมายกลับขึ้นเป็นที่ 5 ในธุรกิจกองทุนรวม พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าหลังการควบรวมกิจการ
‘ดารบุษป์ ปภาพจน์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือ Eastspring เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายขยายส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ของธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) ให้กลับขึ้นไปเป็นที่ 5 ภายใน 3 ปีต่อจากนี้ (2569)
จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 6 โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 335,317 ล้านบาท ลดลง 15.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม
ทั้งนี้้ มาจากราคาหน่วยลงทุน (NAV) ที่ลดลง ประกอบกับเงินทุนไหลออก โดยเฉพาะกองทุนรวมของ Eastspring ที่มีสัดส่วนกองทุนต่างประเทศสูง ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการขึ้นลงค่อนข้างแรง
สำหรับการเติบโตหลังจากนี้ คาดว่าตัวผลักดันหลักจะมาจากธุรกิจกองทุนรวม เพราะเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด รวมถึงธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตยั่งยืนที่สุด สอดคล้องกับทิศทางของ Eastspring ที่จะเน้นการเติบโตภายใน (Organic Growth) แบบมั่นคง
‘เราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่าไม่ได้หมายถึง AUM จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่เราอยากทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวเรา รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดเลือกได้ที่เรา’
อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปีนี้ AUM จะพลิกกลับมาเป็นบวก แม้จะไม่ใช่ปีที่ง่ายและเศรษฐกิจยังคงถดถอย แต่ได้แรงหนุนจากกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-term Fixed Income Fund)
ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดของ Eastspring หากรวมธุรกิจกองทุนทุกประเภทจะอยู่ที่อันดับ 8 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 401,340 ล้านบาท จากอดีตเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างอันดับ 4-6 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 7 แสนล้านบาท
สำหรับช่องทางการขายหลักของ Eastspring ในปัจจุบัน ยังคงเป็นการขายผ่านธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) แต่สัดส่วนการขายกองทุนผ่านสถาบันการเงินอื่นๆ เริ่มปรับขึ้นเรื่อยๆ ตามเทรนด์ตลาดที่ไปสู่การขายกองทุนทุกยี่ห้อ










