FINNOMENA จับมือกับ Deepscope, BottomLiner และ MacroView เปิดตัว Guru Port ภาค 2 ด้วยพอร์ตลงทุน 3 แบบ เหมาะทั้งคนชอบเสี่ยงสูง กลาง และต่ำ สร้างผลตอบแทนสู้ตลาดผันผวน
FINNOMENA (ฟินโนมีนา) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เปิดตัวโครงการ Guru Port อีกครั้งในปี 2565 โดยร่วมมือกับ 3 กูรูการลงทุนชื่อดัง Deepscope, BottomLiner และ MacroView พัฒนาพอร์ตลงทุน 3 แบบ คือ
• Guru Port – Growth Momentum AI (GMAI) โดย Deepscope: พอร์ตลงทุนที่เน้นการลงทุนในกองทุนที่ NAV เติบโตเร็วด้วย momentum ผ่านการคัดเลือกโดย AI จาก Deepscope ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนา AI สำหรับการลงทุน
• Guru Port – Optimal Megatrend Opportunities (OMO) โดย BottomLiner: ลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นธีม เมกะเทรนด์ โดยปรับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ได้รับ ในระดับที่ควบคุมได้
• Guru Port – MRI โดย MacroView: ลงทุนผ่านแนวทางการสแกนกองทุนด้วยปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI)
‘กสิณ สุธรรมนัส’ CEO & Co-Founder ของ FINNOMENA มองว่า ในปี 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของการลงทุน โดยเฉพาะปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ว่าขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติกันอีกครั้ง แต่เศรษฐกิจก็อาจจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
ขณะที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนเพื่อลดความผันผวน จำเป็นต้องจัดพอร์ตในภาพรวมให้เหมาะสม
ปี 2565 ถือเป็นปีที่ท้าทายของตลาดการลงทุนในทุกๆ ด้าน เนื่องจากมีความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้าหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ
และหากเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลง ความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะยิ่งสูงขึ้น ดังนั้น ในแง่ของการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระจายความเสี่ยงและเพิ่มการตั้งรับในภาพรวมให้เหมาะสม
แม้ว่าบริษัทนายหน้าซื้อขายกองทุนในประเทศไทยจะมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น FINNOMENA ก็ยังสามารถตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งด้วยผลกำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โดยในปี 2564 สามารถสร้างผลกำไรเติบโตกว่า 497.77% จากปี 2563 ที่มีกำไร 4.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 29.6 ล้านบาท ขณะที่รายได้เติบโตจาก 159.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 466.35 ล้านบาท ในปี 2564 หรือ เพิ่มขึ้น 192.69%
ซึ่งจากข้อมูลของผู้ลงทุนบนแพลตฟอร์ม FINNOMENA พบว่าอาชีพที่สนใจลงทุนสูงสุด 52% เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมาเป็นธุรกิจส่วนตัว 12% และข้าราชการ 10% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจด้านการลงทุนของคนไทย ที่เน้นเป็นกลุ่มคนทำงานมากยิ่งขึ้น
และโดยสัดส่วนอายุของนักลงทุนอายุ 30-39 ปี คิดเป็น 35% และอายุ 20-29 ปี คิดเป็น 28% บ่งบอกถึงภาพรวมของเทรนด์การลงทุนที่เปลี่ยนไป
โดยแผนการลงทุนยอดนิยมของคนไทยคือ การเลือกลงทุนด้วยตนเอง หรือแบบ DIY ที่มากถึง 40% รองลงมา 20% เป็นการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี และ 10% เป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายเงินเก็บ 1 ล้านบาท










