ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘กาแฟ’ กลายเป็นพื้นที่แสดงตัวตนของคนยุคปัจจุบัน ร้านกาแฟผุดขึ้นทั่วประเทศ ทั้งกาแฟพรีเมียม กาแฟดริป กาแฟสเปเชียลตี้ ไปจนถึงร้านเล็กๆ ข้างออฟฟิศ ทุกอย่างสะท้อนพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคอย่างชัดเจน
‘พงษ์ศักดิ์ ภัทรเมธีวิญญู’ ผู้จัดการฝ่ายบริหารห่วงโซ่อุปทานเมล็ดกาแฟดิบ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 1–1.2 แก้วต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนที่ยังไม่ถึงหนึ่งแก้วต่อคนต่อวันด้วยซ้ำ การเติบโตนี้เกิดขึ้นพร้อมกับ ‘ความเข้าใจเรื่องกาแฟ’ ที่มากขึ้น คนรุ่นใหม่สนใจกระบวนการคั่ว แหล่งที่มาของเมล็ด สนใจรสชาติว่าเป็นโทนไหนผลไม้หรือช็อกโกแลต ไปจนถึงการถือแก้วกาแฟที่สะท้อนตัวตนของตัวเอง
แต่ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ปริมาณเมล็ดกาแฟที่ปลูกได้ทั่วโลกกำลังลดลง ในขณะที่คนชอบดื่มกาแฟมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทำให้พื้นที่ปลูกกาแฟจำนวนมากสูญเสียสมดุล ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้น โรคพืชที่รุนแรงกว่าเดิม และความแปรปรวนของสภาพอากาศ
[ สถานการณ์ที่ซับซ้อนของตลาดกาแฟ ]
ผลกระทบของสภาพอากาศเป็นปัจจัยที่ทุกประเทศเผชิญร่วมกัน อย่างเช่น ‘บราซิล’ ที่เป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับหนึ่งของโลก ก็เคยสูญเสียผลผลิตถึง 25% จากภัยแล้งและน้ำค้างแข็งในบางปี หรือ ‘เวียดนาม’ ที่เจอมรสุมหลายลูกจนสวนกาแฟเสียหายหนัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ ‘ประเทศไทย’ สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะผลิตกาแฟได้ปีละประมาณ 20,000 ตัน ขณะที่ความต้องการบริโภคสูงถึง 100,000 ตัน หมายความว่าเราต้องนำเข้ากาแฟส่วนใหญ่เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ
ดังนั้น ต้นทุนที่สูงขึ้นกระทบทั้งเจ้าของร้านกาแฟและผู้บริโภค เพราะแค่การปรับขึ้นราคาเพียง 5 บาทอาจทำให้ลูกค้าบางส่วนลังเลที่จะซื้อได้เลย นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทั้งผู้ประกอบการและผู้ปลูกกาแฟต้องเผชิญร่วมกัน
[ การปลูกกาแฟยากกว่าที่คิด ]
‘พงษ์ศักดิ์’ บอกว่า หลายคนไม่รู้ว่าการปลูกกาแฟมันยากและต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล กาแฟเป็นพืชที่ละเอียดอ่อนมากและต้องปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมจริงๆ โดยเฉพาะพื้นที่สูงกว่า 800–1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอากาศเย็น ความชื้นเหมาะสม และแสงรำไรที่ช่วยให้ผลเชอร์รี่สุกช้า เมล็ดจึงมีรสชาติเข้มและมีคุณภาพสูง
ที่สำคัญการปลูกกาแฟต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3–5 ปีจึงจะเริ่มให้ผลผลิต และต้องอาศัยความรู้ตั้งแต่การจัดร่มเงา การเลือกสายพันธุ์ การดูแลโรค ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี ทำให้เกษตรกรจำนวนมากถอดใจเปลี่ยนไปปลูกพืชอย่างอื่นแทน
เพราะกว่าจะเห็นเงินก้อนแรกต้องใช้เวลาถึงครึ่งทศวรรษ นี่คือเหตุผลที่หลายพื้นที่อยากเข้าสู่เส้นทางกาแฟ แต่ต้องการผู้เชี่ยวชาญคอยอยู่เคียงข้าง และต้องมี ‘ตลาดที่แน่นอน’ เพื่อให้เชื่อว่าอาชีพนี้สามารถอยู่ได้จริงในระยะยาว
[ ความยั่งยืนที่เริ่มจากดอย เชื่อมถึงแก้วกาแฟในเมือง ]
‘พงษ์ศักดิ์’ อธิบายว่า ในส่วนของโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนของ OR ดำเนินมาต่อเนื่องกว่า 10 ปี เพราะเชื่อว่าคุณภาพชีวิตเกษตรกรจะดีขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีความรู้และมาตรฐานไม่ใช่เพียงการรับซื้อผลผลิต
โดยทีม OR ลงพื้นที่หลายจังหวัดตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ น่าน จนถึงชุมพร เพื่อพัฒนาระบบการปลูกอย่างครบวงจรและโปร่งใส ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ ‘ปางขอน’ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเมื่อก่อนกาแฟเป็นแค่รายได้เสริม แต่หลังจาก OR โดย Café Amazon เข้าไปทำงานร่วมกับชุมชนในปี 2560 ทั้งการให้ความรู้เรื่องการเก็บเกี่ยวและการดูแลต้นกาแฟ พร้อมระบบรับซื้อที่เป็นธรรม ทำให้กาแฟกลายเป็น ‘อาชีพหลัก’ ของคนในพื้นที่กว่า 100 ครัวเรือน
ด้าน ‘ผาลั้ง’ ก็เช่นเดียวกันเดิมทีพึ่งพาการปลูกลิ้นจี่ที่รายได้ผันผวน ก่อนหันมาปลูกกาแฟตามต้นแบบปางขอน OR เข้าไปสนับสนุนตั้งแต่ปี 2561 ทำให้ภายในไม่กี่ปี กาแฟกลายเป็นรายได้หลักของกว่า 200 ครัวเรือน
[ เมื่อชุมชนและแบรนด์เดินไปด้วยกัน ]
สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้ยั่งยืนคือการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ประชุมหมู่บ้านต้องมีเรื่องกาแฟเป็นหนึ่งในวาระ และเกษตรกรที่ตั้งใจดูแลคุณภาพจะได้รับส่วนเพิ่มพิเศษตามมาตรฐาน Café Amazon Standard สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณภาพดีขึ้น ราคาขายสูงขึ้น และเกษตรกรเห็นคุณค่าของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกษตรกรมีความรู้ มีโอกาส และมีตลาดที่เป็นธรรม อาชีพบนยอดดอยก็สามารถ ‘เปลี่ยนชีวิต’ คนทั้งหมู่บ้านได้จริง และทำให้กาแฟไทยแข็งแรงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ปัจจุบัน OR โดย Café Amazon มีกาแฟที่มาจากเกษตรกรในเครือข่ายที่ร่วมพัฒนาคุณภาพโดยตรงราว 25% ขณะที่กาแฟจากผู้ค้าคนกลางอยู่ที่ประมาณ 50% ส่วนที่เหลือมาจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นเพื่อรองรับความต้องการที่ยังเพิ่มขึ้น
ในอนาคต OR ตั้งใจเพิ่มสัดส่วนกาแฟจากเกษตรกรไทยให้มากขึ้น แต่การพัฒนาพื้นที่ใหม่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5–6 ปี กว่าจะได้ผลผลิตแรก จึงต้องอาศัยความเชื่อใจ ความละเอียดในการดูแล และการทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นเมล็ดกาแฟที่เดินทางมาถึงแก้วในมือของทุกคน










