แนะวิธีปฏิบัติตัวหลังสัมผัสกับสารเคมีรั่วไหลและวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลังเกิดไฟไหม้-ระเบิด โรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติก จ.สมุทรปราการ
วันที่ 5 ก.ค. 2564 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึง เหตุไฟไหม้โรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติก อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พบว่าเกิดเพลิงไหม้ตัวอาคารโรงงานอย่างรุนแรง และมีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ แรงอัดทำให้บ้านเรือนและโรงงานที่อยู่โดยรอบข้างรัศมี 500 เมตร ได้รับความเสียหายจำนวนมาก และยังพบถังเคมีขนาด 2,000 ตันระเบิดภายในบริษัทมีแรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้าง และมีควันดำฟุ้งกระจายในรัศมีหลายกิโลเมตร
สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการ ได้ขอความร่วมมือประชาชนอพยพออกจากพื้นที่อย่างน้อย 5 กิโลเมตร เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากสารเคมีเป็นสไตรีนโมโนเมอร์ที่เป็นของเหลว ไวไฟ เมื่อติดไฟจะให้ควันหรือก๊าซที่ระคายเคืองหรือเป็นพิษ จึงห้ามอยู่ใกล้ เปลวไฟและประกายไฟ และห้ามสูบบุหรี่ สารนี้มีอันตรายต่อระบบอวัยวะสำคัญของร่างกาย ทั้งระบบ ทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบสร้างเลือด ตับ และระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อได้รับไอระเหยของสารนี้ทางการสูดดมส่งผลให้เวียนศีรษะ ง่วงซึม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หมดสติ จะต้องย้ายผู้ป่วยไปบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ทันที หากได้รับทางผิวหนังจะมีอาการผิวหนังแดง ปวด ให้ใช้วิธีล้างผิวหนังทันทีด้วยสบู่และน้ำปริมาณมาก ๆ หากสัมผัสสารทางดวงตาจะทำให้ระคายเคืองตา ตาแดง ปวดตา จึงควรล้างตาด้วยน้ำในปริมาณมาก ๆ เช่นกัน เพื่อเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้และมีสารเคมีรั่วไหลออกมา ประชาชนควรตั้งสติและอพยพออกจากพื้นที่ทันทีตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการ และอยู่เหนือลม หรืออยู่ในอากาศที่ถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการสูดดมควัน หากสัมผัสควันไฟหรือไอระเหยจากสารเคมีให้รีบนำผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่ หากสารเคมีเปื้อนผิวหนังให้ล้างและทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ แต่ถ้าสัมผัสสารเคมีหรือโดนไอระเหยเข้าดวงตาให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง และโทรเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 เมื่อออกจากพื้นที่ได้แล้ว หากพบว่ามีคนติดอยู่ห้ามกลับเข้าไปด้วยตนเองเด็ดขาด ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือ และแม้ว่าเหตุการณ์ไฟไหม้จะสงบลงแล้ว ยังไม่ควรเข้าใกล้หรือสัมผัสสารเคมีในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาดจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ส่วนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว หากเหตุการณ์สงบแล้วและอยากกลับเข้าบ้านต้องประเมินสถานภาพตนเองและคนใกล้ชิด หากพบมีอาการผิดปกติดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ทันที

สำหรับ สารสไตรีน โมโนเมอร์ เป็นของเหลวใสและข้นเหนียวน้ำหนักโมเลกุล 104.16 ถ้าสารมีอุณหภูมิ 31 องศาเซลเซียส ขึ้นไปจะติดไฟและกลายเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่ายหากถูกเผาไหม้จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จำนวนมาก มีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
ซึ่งสารดังกล่าวใช้ในการผลิตยางสังเคราะห์ และพลาสติก เรซิน สี ฉนวนที่เป็นโฟม ใช้ผลิตพลาสติกกับสารอื่น เช่น อะคริโลไนโตรล์-บิวทาไดอีน-สไตรีน ใช้ทำกระเป๋าแบบแข็ง อะคริโลไนโตร์-สไตรีน พลาสติก ใช้ในชิ้นส่วนรถยนต์และของใช้ในบ้านและบรรจุภัณฑ์ มีผลต่อสุขภาพเนื่องจากเป็นสารระเหย การปนเปื้อนในดินอาจนำไปสู่การปนเปื้อนในน้ำใต้ดินเพราะสารนี้ไม่ค่อยจับตัวกับดิน ถ้าหายใจเข้าไปจะเกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และลำคอ มีอาการปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และมึนเมา ถ้าได้รับสารปริมาณสูงจะมีอาการชักและเสียชีวิตได้ การหายใจเข้าไปในระยะนานๆ แม้ว่าความเข้มข้นต่ำจะทำให้อาจมีอาการทางสายตา การได้ยินเสื่อมลง และการตอบสนองช้าลง ส่วนผลในระยะยาวนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ถ้าเข้าตา จะเคืองตา ถ้าถูกผิวหนัง จะรู้สึกระคายผิว ถ้าสารซึมเข้าผิวหนังจะมีอาการเหมือนหายใจเข้าไป ทำให้ผิวแดง แห้งและแตก
ขณะที่การดับเพลิง ให้ใช้น้ำยาประเภทคาร์บอนไดออกไซด์หรือเคมีแห้งหรือโฟมปิดคลุม ห้ามฉีดน้ำเป็นลำไปยังถังที่ถูกเพลิงไหม้โดยตรง แต่อาจให้ฉีดเป็นละอองฝอยเพื่อควบคุมควันเท่านั้น
สำหรับค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจแบบเฉียบพลัน ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ระดับที่ 1 ในปริมาณ 20 พีพีเอ็ม หากสูงกว่าระดับนี้ อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนเล็กน้อย
ระดับที่ 2 ในปริมาณ 130 พีพีเอ็ม หากสูงกว่าระดับนี้ อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างรุนแรงในระดับที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และควรมีการอพยพ
ระดับที่ 3 ในปริมาณ 1,100 พีพีเอ็ม หากสูงกว่าระดับนี้ อาจเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงถึงขั้นสียชีวิตได้
ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมอนามัย










