แบงก์ชาติทั่วโลกยังไม่หยุดซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง ไตรมาสแรกปีนี้เข้าซื้อแล้วกว่า 228 ตัน จากเหตุผลด้านการเงินและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์
‘เชาไก ฟ่าน’ (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า
ความต้องการซื้อทองคำในไตรมาส 1 ปี 2566 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ว่าทองรูปพรรณ ทองเครื่องประดับ และทองเพื่อเทคโนโลยี จะมีความต้องการน้อยลงก็ตาม
แต่ที่น่าสนใจ คือ ธนาคารกลางยังคงเข้าซื้อทองคำเพื่อเป็นเงินทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง และมียอดซื้อสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 228 ตัน เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สอดคล้องกับปี 2565 ที่ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1,078 ตัน
ทั้งนี้ สภาทองคำโลกคาดว่าแบงก์ชาติจะยังสำรองทองคำสูงต่อเนื่องในปีนี้ และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง จะเป็นแรงซื้อสำคัญของตลาดทองคำในปีนี้
สำหรับธนาคารกลางที่ซื้อสูงสุดในรอบนี้ คือ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (0 The Monetary Authority of Singapore: MAS) ที่ 60 ตัน และธนาคารกลางจีน (The People’s Bank of China: PBoC) ที่ 58 ตัน
สาเหตุที่ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงสำรองทอง คาดว่าเป็นเหตุผลทางด้านการเงิน รวมถึงความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศ ว่าการเลือกตั้งจะมีผลต่อการตัดสินใจสำรองทองคำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือไม่นั้น สภาทองคำโลกมองว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยถือเป็นองค์กรที่เป็นอิสระและมีความสามารถเฉพาะตัว คาดว่าสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุด โดยไม่มีความเชื่อมโยงว่าใครเป็นรัฐบาลของประเทศไทย
สำหรับรายงาน Gold Demand Trends ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก เผยแม้ความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
การฟื้นตัวของการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ทำให้ดีมานด์ทองคำโดยรวมเพิ่มเป็น 1,174 ตัน กล่าวคือ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2565
ในประเทศไทย ความต้องการทองคำของผู้บริโภคประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 3.9 ตัน จาก 3.8 ตันในไตรมาสที่ 1 ปี 2565
เนื่องจากความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น 15% มาอยู่ที่ 1.9 ตัน จาก 1.6 ตัน ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 แม้ว่าความต้องการอัญมณีในประเทศจะลดลง 6% ไปอยู่ที่ 2.1 ตัน จาก 2.2 ตันในไตรมาสที่ 1/2565 ก็ตาม
ทั้งนี้ ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นและแรงกดดันจากค่าครองชีพเป็นตัวฉุดให้ดีมานด์อัญมณีของไทยลดลง 6% ในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยราคาทองคำที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจขายเครื่องประดับทองคำที่มีอยู่
ภาพรวมของทองคำในไตรมาสที่ 1 ชี้ให้เห็นถึงความต้องการทองคำจากแหล่งผู้ซื้อที่หลากหลายทั่วโลก ส่งผลให้ราคาทองคำในไตรมาสนี้ขึ้นสูงถึง 1,890 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งนับว่าเกือบสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังหนุนดีมานด์ด้วยการเพิ่มทองคำ 228 ตัน ในทุนสำรองทั่วโลก ถือเป็นสถิติสูงสุดของไตรมาสที่ 1 ในช่วงเวลานี้
การซื้อทองคำจำนวนมากอย่างต่อเนื่องของภาครัฐเน้นย้ำถึงบทบาททองคำในพอร์ตทุนสำรอง ระหว่างประเทศในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูง
ในทางตรงกันข้าม อัญมณีค่อนข้างทรงตัวในไตรมาสแรก โดยอยู่ที่ 478 ตัน ด้วยความต้องการของจีนฟื้นคืนสู่ระดับเดิม โดยแตะ 198 ตัน ในไตรมาสแรก จากพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เติบโตและมีอิสระมากขึ้นนับตั้งแต่มีการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์
ทั้งนี้ ช่วยชดเชยความต้องการในอินเดียที่การซื้อทองคำลดลง 17% ไปอยู่ที่ 78 ตัน ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศที่พุ่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการซื้อ
สำหรับดีมานด์การลงทุนมีความขึ้นลงในช่วงไตรมาสแรก การไหลเข้าของเงินทุนรอบใหม่ในกองทุน ETF ที่หนุนโดยทองคำในเดือน มี.ค. ซึ่งได้รับแรงขับหลักจากความเสี่ยงในลักษณะลูกโซ่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สวนทางกับการไหลออกของเงินทุนในเดือน ม.ค.และ ก.พ.บางส่วน และช่วยให้การไหลออกของกองทุนรายไตรมาสลดลงเหลือ 29 ตัน
ในทางกลับกัน การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำแข็งแกร่งขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไปอยู่ที่ 302 ตัน แม้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในตลาดสำคัญๆ
ดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำในสหรัฐแตะ 32 ตัน ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดรายไตรมาสเทียบกับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา และมีสาเหตุสำคัญมาจากความกังวลถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการแสวงหาความปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนของธุรกิจธนาคาร
ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวช่วยพยุงดีมานด์ในยุโรป โดยเฉพาะประเทศเยอรมนีที่ดีมานด์ลดลง 73% อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่สูงขึ้น และราคาทองคำยูโรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเทขายเพื่อทำกำไร
ในด้านอุปทานพบว่า ภาพรวมในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1,174 ตัน ทั้งมีการผลิตเหมืองเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1% และการรีไซเคิลเพิ่มขึ้น 5% เพราะมาจากปัจจัยราคาทองคำที่สูงขึ้น
‘หลุยส์ สตรีท’ (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสประจำสภาทองคำโลก ให้ความเห็นว่า ภาพรวมของไตรมาสที่ 1 ชี้ให้เห็นว่าความต้องการทองคำจากแหล่งที่หลากหลายจะช่วยหนุนบทบาทและการทำกำไรของทองคำในฐานะสินทรัพย์ระดับโลกได้อย่างไร
ดีมานด์ที่โตขึ้นในบางภูมิภาคชดเชยจุดอ่อนในภูมิภาคอื่นๆ ที่ไม่เติบโต เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันและปัจจัยที่ขับเคลื่อนดีมานด์มีบทบาทในตลาดทองคำทั่วโลกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือนักลงทุนประเภทต่างๆ มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ในช่วงที่ไม่มีความแน่นอน
ท่ามกลางความผันผวนของภาคส่วนธนาคาร ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ทำให้บทบาทของทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยได้อย่างชัดเจน
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ความต้องการลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อแรงต้านเศรษฐกิจลดลงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งตัวและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ความต้องการในกองทุนทองคำ ETF จะยังคงเป็นไปในเชิงบวกในไตรมาสที่ 2 และผลจากภาวะถดถอยของตลาดที่พัฒนาแล้วอาจเป็นตัวกระตุ้นให้มีเงินทุนไหลเข้าเร็วขึ้นในช่วงปลายปีนี้
การซื้อทองคำของธนาคารกลางยังคงมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งและเป็นตัวหนุนที่สำคัญของอุปทานตลอดปี 2566 แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา
‘แม้เศรษฐกิจในหลายประเทศมีความไม่มั่นคงและเกือบเข้าสู่ภาวะถดถอย ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ทางกลยุทธ์ในระยะยาวที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีประวัติในการสร้างผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 5 ครั้ง จากทั้งหมด 7 ครั้ง’










