หลายคนอาจเคยเจอกับสภาพที่ได้งานใหม่งอกขึ้นมา มีหน้าที่เพิ่ม แต่สิ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นไปด้วย คือตำแหน่งและเงินเดือน สภาพแบบนี้มีชื่อเรียกว่า Quiet Promotion หรือการเพิ่มงาน แต่ไม่เพิ่มเงิน แล้วเรามีวิธีการรับมืออย่างไรบ้าง ไปหาคำตอบกัน
ความหวังของคนทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มันจะมีอะไรมากไปกว่าการที่ได้เลื่อนขั้นปรับตำแหน่ง มีเงินเดือนที่สูงขึ้น และสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งมุมมองของหน้าตาทางสังคม และรายได้ที่เอามาเจือจุนตนเองและครอบครัว จริงไหมครับ
แต่สังเกตดีๆ ครับ ตั้งแต่มีโควิด หรือสภาพเศรษฐกิจที่ติดๆ ขัดๆ มาในช่วง 2-3 ปีนี้ การเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งของคนที่นั่งทำงานงกๆ ในออฟฟิศ กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
บางองค์กรถึงขึ้นยกเลิกการมีโปรโมชั่นไปเลย คือ ไม่มีใครได้เลื่อนขั้นอะไรทั้งสิ้นในปีที่ผ่านมา
บางองค์กร ก็ยังให้มีการเลื่อนขั้น แต่ก็ขอลดปริมาณคนที่ได้เลื่อนตำแหน่งลง
บางที่ใช้วิธีการว่า “ฉันจะยังโปรโมตเธอนะ แต่ขึ้นเงินเดือนน้อยหน่อยก็แล้วกัน ถือว่าช่วยๆ กันไป”
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทำไมบางองค์กรถึงยังเก็บคนเก่งๆ ที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นไว้ไม่อยู่ นั่นก็เพราะว่า ปรับเงินเดือนขึ้นให้เขา 2-3% เท่านั้น
แต่ที่ร้ายที่สุด ไม่ใช่ทุกกรณีที่กล่าวมาข้างต้นครับ ทว่า มันคือการที่หัวหน้างานแอบโปรโมตลูกน้องเงียบๆ
เงียบมากจนลูกน้องเองก็ไม่รู้ตัวว่าได้โปรโมต เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้เลื่อนขั้นอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการขึ้นเงินเดือนอะไรทั้งนั้น แต่ที่เพิ่มขึ้นคือ ‘งาน’ ที่หลายคนไม่เคยร้องขอ
จึงเป็นที่มาของคำว่า Quiet Promotion คือเรื่องเลื่อนตำแหน่งยังเงียบ แต่ยัดงานเพิ่มมาเพียบนะจ๊ะ ยัดงานมาเสมือนหนึ่งว่าได้เลื่อนขั้น แต่เรื่องการปรับตำแหน่งและเงินเดือนยังเป็นการ ‘ปรับทิพย์’
และผมมั่นใจว่า หลายคนเจอสถานการณ์นี้อยู่ครับ อาจจะด้วยสถานการณที่องค์กรต้องตรึงกำลังคน และอยากสร้าง productivity สวยหรู
วันนี้เลยอยากชวนให้มองด้วยใจเป็นกลาง และจัดการด้วยใจที่สบาย ดังต่อไปนี้ครับ
ข้อแรก Quiet Promotion หรือการโปรโมตทิพย์ (แต่งานไม่ทิพย์) นี้ เราได้อะไรจากมันไหม นอกจากเรื่องเงิน เช่น การเรียนรู้ ทักษะใหม่ๆ หรือโอกาสที่จะได้เติบโตในอนาคตที่ไม่ใช่เพียงแค่การขายฝัน
ถ้ามี อย่ากังวลที่จะทำหรือไปมัวนั่งคิดว่ามันไม่แฟร์ ลุยครับ เพราะค่าตอบแทนมันอาจจะมาในรูปของสิ่งที่ไม่ใช่เงินหรือตำแหน่ง แต่มีคุณค่าทางด้านอื่นๆ ก็ได้
และจงถามต่อว่า ถ้ามันเป็นเรื่องดีเช่นนั้นแล้ว เราจัดสรรเวลาในการบริหารจัดการได้ไหม จะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้าง และเราจัดการชีวิตในภาพรวมได้หรือเปล่า ถ้าได้ ไปต่อครับ
ข้อต่อมา ถ้ามันยังรู้สึกว่า การโปรโมตทิพย์นี้มันคือการเอาเปรียบ ถ้าเป็นเช่นนั้น อยากให้ลองพิจารณามองรอบตัว มองเพื่อนร่วมงานว่าเขาเผชิญสิ่งเดียวกับเราหรือไม่ หรือเรากำลังเผชิญสิ่งนี้ด้วยตัวคนเดียว
ถ้าเป็นกรณีหลัง ให้ลองเจาะต่อไปว่า มันมาด้วยความหวังดี คือ stretch เพื่อพัฒนาบุคลากรคนเก่ง หรือยัดมาเพราะต้องการทำให้เราเสียชีวิต ถ้าเป็นอย่างหลัง ขอให้เริ่มเผชิญหน้า และกล้าที่จะถามครับ
เพราะมันคือขั้นตอนต่อมาที่ว่า ถ้ามันไม่แฟร์ แล้วเราจะทนอยู่ไปเพื่ออะไร
จงกล้าที่จะเดินเข้าไปถามหาเหตุผล ที่มาที่ไป และมุมมอง จนเราเข้าใจ หรืออาจจะไม่เข้าใจก็ได้
ถ้าเข้าใจ คือจบครับ
แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ และไม่ซื้อเหตุผลที่ได้ยิน เช่น มันไม่ได้มีอะไรดีกับคุณเลย แต่ตรงกันข้าม องค์กรกำลังร้องขอมากเกินไป หรือชัดเจนว่า เจ้านายโยนขี้มาให้ ก็จงเริ่มพิจารณาว่าเราจะไปต่ออย่างไรกับชีวิตการทำงาน เรามีทางเลือกอย่างไรบ้าง หรือจริงๆ เราเองก็ยังไม่มีทางเลือก… หรืออาจจะต้องเริ่มคิดพิจารณาหาทางเลือกอื่น?
สิ่งเหล่านี้มันต้องคิดอย่างเป็นระบบ อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ และหารรับได้ หรือรับไม่ได้ของแต่ละคนด้วยครับ
บางเหตุผล แม้ไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่เรายอมรับได้ เราก็ไปต่อ เช่น เรารักองค์กร เราไม่ชอบขัดแย้ง เราปักหลักที่นี่แล้ว
แต่บางเหตุผล แม้เป็นเหตุเป็นผล แต่เรารับไม่ได้ มันก็ต้องจบ เพราะบางทีมันก็อาจจะเป็นแค่เหตุผลที่ดีของฝั่งที่ไม่ใช่คนทำงานอย่างเราๆ ก็ได้ แล้วเราจะอดทนทำงานแบบโปรโมตทิพย์ไปเพื่อ?
เว้นแต่เราตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เราจะเป็นเยี่ยงองค์กรการกุศล จะทำงานให้หนักเพื่อสังคมของบริษัทนี้โดยไม่ตั้งคำถามอะไร ก็ว่ากันไปครับ เพราะมันก็แล้วแต่ว่าเราวางใจของเราไว้ตรงไหน และมองเรื่องนี้อย่างไร
อ่านเรื่องน่าสนใจเพิ่มเติม










