ครม. อนุมัติแล้ว งบกว่า 81,266 ล้านบาท ทำโครงการประกันรายได้ข้าวปีที่ 4 พร้อม 3 มาตรการคู่ขนาน และโครงการค่าสนับสนุน เตรียมโอนจ่ายให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว กว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ (15 พ.ย. 65) ที่น่าสนใจคือ ครม. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนานและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566 กรอบวงเงิน 81,266 ล้านบาท
โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
– โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566 ในกรอบวงเงิน 18,700 ล้านบาท เป็นการประกันรายได้ข้าวเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกปทุมธานี ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกเหนียว ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรไว้แล้ว 4,680,000 ครัวเรือน
– มาตรการคู่ขนาน โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566 จำนวน 7,483 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการ
1. โครงการสินเชื่อ ชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/2566 ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) จะจ่ายสินเชื่อตามโครงการให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร อีกประมาณ 2,500,000 ตันข้าวเปลือก
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/2566 เป็นการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร, กลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อที่จะรวบรวมข้าวเปลือก เพื่อจำหน่าย และ/หรือ การแปรรูป วงเงินสินเชื่อประมาณ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นข้าวเปลือก 1,000,000 ตันข้าวเปลือก และจำนวนสินเชื่อคงเหลือ ภายในระยะเวลาโครงการไม่เกินสินเชื่อเป้าหมาย คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกร รับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ปี รัฐบาลจะรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตร ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 2565/2566 คือการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการ ให้เก็บสต๊อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร โดยมีเป้าหมายที่จะดูดซับประมาณ 4,000,000 ตันข้าวเปลือก เก็บสต๊อกไว้ 60-180 วัน หรือระยะเวลา 2-6 เดือน นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 3
– โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในปีผลผลิต 2565/2566 กรอบวงเงิน 55,083 ล้านบาท โดยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลผลิต 2565/2566 ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรไว้แล้วประมาณ 4,680,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตร ได้นำข้อมูลรายชื่อเกษตรกร ที่ผ่านการขึ้นทะเบียน เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลผลิต 2565/2566 ส่งให้ ธกส. สำนักงานใหญ่ เพื่อดำเนินการจ่ายให้เกษตรกร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

ขณะที่ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเสริมว่า โครงการประกันรายได้ ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 4 เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ให้กับชาวนา เกษตรกรผู้ปลูกพืชต่างๆ และช่วยเหลือค่าเพาะปลูกด้วยไร่ละ 1,000 บาท เป็นการอนุมัติได้ถูกเวลา เพราะข้าวกำลังออกสู่ตลาด เชื่อว่ามาตรการคู่ขนานจะทำให้ราคามีเสถียรภาพ ที่ผ่านมารัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์พยายามผลักดันให้มีการส่งออกมาข้าวมากขึ้น เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปี 2564 ส่งออกได้ 6.3 ล้านตัน ส่วนปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ไม่น้อยกว่า 7 ล้านตัน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาสามารถส่งออกไปได้แล้ว 5.4 ล้านตัน ซึ่งคิดว่าถึงเป้าหมายแน่นอน อีกทั้งความต้องการจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิหรือข้าวขาว ประกอบกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ก็ได้มาใช้ผลผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ตรงนี้จะเป็นการสร้างความต้องการให้เกิดขึ้นกับข้าวในประเทศ ถือเป็นช่วงที่ดีของข้าวไทย “ราคา” ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วค่อนข้างเยอะ
สำหรับโครงการประกันรายได้ปีที่ 4 เริ่มจ่ายงวดแรก วันที่ 15 ต.ค. 65 จ่ายให้เกษตรกรที่แจ้งเก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 15 ต.ค. 65 หลังจากนั้นจะพิจารณาชดเชยส่วนต่าง ทุก 7 วัน ซึ่ง คณะกรรมการกำหนดเหตุการณ์อ้างอิง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว จะส่งรายชื่อให้กรมส่งเสริมการเกษตร และโอนไปให้ ธกส. เมื่อตรวจสอบแล้วถูกต้องจะโอนเข้าบัญชีเกษตรกรภายใน 3 วัน ซึ่งรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนต้องตรงกันกับบัญชีของเกษตร ทั้งนี้โครงการประกันรายได้เป็นโครงการที่โอนเงินถึงเกษตรกรเท่านั้น
ภาพประกอบจาก : ทำเนียบรัฐบาล










