ในอุตสาหกรรมข้าว ประเทศไทยเคยเป็นอันดับหนึ่งของโลกในอดีต แต่ทว่าปัจจุบันกลับไม่ใช่อีกต่อไป หลังจากอินเดียและเวียดนามสามารถส่งออกข้าวได้มากกว่าไทยเรา อีกทั้งยังได้เปรียบในเรื่องของผลผลิต ทำให้มีสต๊อกส่งออกทั่วโลก มาพร้อมกับราคาที่จับต้องได้
และถ้าอุตสาหกรรมข้าวไทยยังอยากที่จะกลับไปโดดเด่นในตลาดโลก ก็ต้องปรับตัว TODAY Bizview ได้ร่วมพูดคุยกับ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย แล้วจะมาสรุปแนวคิดการผลักดันอุตสาหกรรมข้าวไทยฉบับภาครัฐและเอกชนให้ฟัง
[ New Rice Economy ทางออกของไทยคือการพัฒนาข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก ]

‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดข้าวโลกสูงมาก ประเทศไทยไม่ใช่ผู้ผลิตรายใหญ่เพียงรายเดียวอีกต่อไป อินเดียก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก และเพียงปีที่ผ่านมาอินเดียยังมีสต๊อกข้าวเกินกว่า 20 ล้านตันออกสู่ตลาด
ขณะที่ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านไทยผลิตได้เฉลี่ย 600–700 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่เวียดนามทำได้ถึง 1,400–1,500 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งที่ต้นทุนแทบไม่ต่างกัน
ด้านผู้บริโภคเองก็มีตัวเลือกมากขึ้น สายพันธุ์ในไทยมีราว 5,000 สายพันธุ์ แต่ไทยผลิตอยู่ไม่กี่ชนิด ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายไม่ทัน ไหนจะปัญหาสภาพอากาศผันผวนที่ควบคุมไม่ได้ ยิ่งตอกย้ำว่าเราไม่สามารถแข่งขันด้วย “ปริมาณ” แบบเดิมได้อีกต่อไป
เพราะปัจจุบันประเทศไทยผลิตข้าวปีละกว่า 20 ล้านตัน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 27 ล้านตัน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งถูกส่งออกไปแล้ว และในจำนวนนี้ข้าวที่ถือว่าเป็นจุดแข็งและไม่ต้องกังวลมากคือ ‘ข้าวหอมมะลิ’ ซึ่งมีปริมาณเพียงประมาณ 6 ล้านตัน เท่านั้น
ขณะที่ข้าวขาวและข้าวสายพันธุ์อื่นๆ อีกกว่า 21 ล้านตัน ยังต้องได้รับการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น
“ประเทศไทยมีสายพันธุ์ข้าวมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ แต่ในความเป็นจริง เรากลับผลิตเพียงไม่กี่สายพันธุ์เดิมๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวเมล็ดแข็ง ทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกันความต้องการของตลาดโลกก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านการแข่งขันจากต่างประเทศและปัจจัยสภาพภูมิอากาศที่ควบคุมได้ยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราไม่อาจผลิตข้าวแบบเดิมอีกต่อไป” ศุภจี กล่าว
ทำหมดนี้ ทำให้ทางออกของไทย ต้องพัฒนาข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก ต้องเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พัฒนาสายพันธุ์ให้ให้ผลผลิตสูงขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ พร้อมบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้เป็นระบบและมีมาตรฐาน
“แนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และเพิ่มคุณค่าของข้าว รวมถึงการปรับปรุงวิธีการผลิต การเก็บเกี่ยว และการบรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น ต้องบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ถึงมือผู้บริโภคด้วยคุณภาพที่ดีที่สุด ทั้งหมดนี้คือหัวใจของ New Rice Economy ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญในยุคการแข่งขันใหม่ของตลาดข้าวโลก” ศุภจี กล่าว
[ ไทยต้องผลักดัน “ข้าวประณีต” ให้ขึ้นชื่อ เน้นขายคุณภาพมากกว่าปริมาณ ]
แนวคิดทั้งหมดนี้นำไปสู่แนวทางใหม่ภายใต้ชื่อ “ข้าวประณีต” โดยแนวคิดนี้ได้รับการผลักดันผ่านความร่วมมือระหว่าง กระทรวงพาณิชย์, RiceHub, สมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย (TDeD) และเครือข่ายเกษตรกรจากทั่วประเทศ ซึ่งร่วมกันสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ของระบบข้าวไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผลิตข้าวจากความพิถีพิถัน ตั้งแต่สายพันธุ์ วิธีการผลิต ไปจนถึงคุณค่าที่ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่
ซึ่งข้าวประณีตเป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนิยามข้าวคุณภาพสูงที่แตกต่างจากข้าวทั่วไป เพราะในประเทศไทยมีกลุ่มเกษตรกรจำนวนหนึ่งปลูกข้าวด้วยความหลากหลายของสายพันธุ์มากกว่า 4–6 สายพันธุ์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่
ลักษณะสำคัญของข้าวประณีตคือกระบวนการผลิตที่ทำด้วย ความใส่ใจ ความเคารพ และความตั้งอกตั้งใจ ทุกขั้นตอน ตั้งแต่สายพันธุ์ พื้นดิน เกษตรกร ไปจนถึงวิธีการผลิตและรสชาติ ซึ่งสะท้อนความ “ประณีต” ในทุกมิติของข้าวเหล่านี้
แนวคิดนี้ยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตลาดข้าวไทย โดยมองข้าวให้เหมือนสินค้าเกษตรคุณภาพสูงเช่นเดียวกับกาแฟพิเศษหรือไวน์ ข้าวแต่ละสายพันธุ์ พื้นที่ปลูก และกระบวนการผลิต ต่างมีเอกลักษณ์ที่สามารถบอกเล่าเป็น “Flavor Profile” ได้อย่างชัดเจน
ประเทศไทยมีสายพันธุ์ข้าวกว่า 5,000 สายพันธุ์ ซึ่งหลายชนิดมีเอกลักษณ์โดดเด่น เช่น ข้าวพญาลืมแกง ข้าวเหนียวดำคนึงนิจ หรือข้าวหอมหัวบอน การหยิบสายพันธุ์เหล่านี้มาพัฒนาและเล่าเรื่องให้ชัด
จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ข้าวเหนียวดำคนึงนิจซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีรสชาติผสมผสานระหว่างข้าวเหนียวดำและข้าวหอมมะลิ สามารถขายได้ในราคาที่เกษตรกรพึงพอใจที่ราว 250 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับข้าวเหนียวทั่วไปเพียง 25 บาทต่อกิโลกรัม
และต้องช่วยกันผลักดันคำว่า “ข้าวประณีต” ให้เป็นคำไทยที่คนทั่วโลกเข้าใจเหมือนคำว่า “วากิว” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น นี่คือโอกาสของไทยที่จะเป็นผู้นำตลาดโลกในการพูดเรื่องรสชาติ คุณภาพ และความแตกต่างของข้าวในระดับสากลเป็นครั้งแรก
ในบริบทของ New Rice Economy ข้าวประณีตจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับทิศทางอุตสาหกรรมข้าวไทยจากการแข่งขันด้านปริมาณไปสู่การแข่งขันด้านคุณภาพ ช่วยลดแรงกดดันจากราคาที่ถูกกำกับโดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น อินเดียและเวียดนาม ทำให้ข้าวที่เคยถูกมองเป็นสินค้ามวลรวมกว่า 20 ล้านตันต่อปีสามารถยกระดับเป็นสินค้ามูลค่าสูงและผลิตในปริมาณที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรระดับ Tier 1 กับโรงแรม เชฟ ร้านอาหาร และโมเดิร์นเทรดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการสร้างพื้นที่เฉพาะในร้านค้าสมัยใหม่เพื่อวางจำหน่ายข้าวประเภทนี้
ข้าวประณีตจึงตอบโจทย์ผู้ซื้อที่ต้องการคุณลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นความนุ่มสำหรับทำโจ๊ก ความแข็งสำหรับทำข้าวผัด หรือสายพันธุ์ที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำเช่น กข43 ที่สอดคล้องกับกระแสรักสุขภาพ เทรนด์โภชนปัญญา และอาหารเฉพาะบุคคล (Personalized Food)
เวลาเราไปขายประเทศนั้นประเทศนี้ ไปขายข้าวไทยก็อร่อย แต่มันต่างจากเวียดนามอินเดียยังไง แต่ถ้าเรามีข้อมูลว่าข้าวเรานิ่ม ข้าวเราแข็ง เรามีสตอรี่ คนทั่วไป เวลาเดินไปซื้อของก็เลือกที่ราคา แต่ถ้าเราสามารถเจาะลงไปได้ก็จะทำให้เพิ่มมูลค่าให้
[ ถ้าอุตสาหกรรมข้าวดีขึ้น ชาวนาก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ]
อย่างไรก็ตาม สำหรับการพัฒนาแนวคิดข้าวประณีตจะเริ่มจากการสร้างชุมชนต้นแบบประมาณ 200 ชุมชน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ชาวนากลุ่มอื่นเห็นผลลัพธ์จริง ทั้งด้านคุณภาพ ผลผลิต และมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
กระทรวงพาณิชย์จะทำกาแบ่งเกษตรกรรออกเป็นกลุ่มตามระดับความพร้อม (Tier 1 และ Tier 2) เพื่อให้สามารถสนับสนุนและเติมเต็มเครื่องมือที่จำเป็นได้อย่างเหมาะสม เกษตรกรสามารถเริ่มทดลองปลูกข้าวประณีตในพื้นที่ขนาดเล็กเพื่อพิสูจน์ว่าการผลิตแบบใหม่นี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้จริง ก่อนจะค่อยๆ ขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปนอกเหนือจากชุมชนต้นแบบทั้ง 200 แห่งได้
‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ก็มองทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไว้ว่า “ชาวนาก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รายได้ต่อไร่สูงขึ้นเพราะสามารถขายข้าวได้ในราคาที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เนื่องจากต้นทุนหลักของชาวนามีไม่กี่อย่าง ได้แก่ ค่ายา ปุ๋ย แหล่งน้ำ และเมล็ดพันธุ์
ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถบริหารจัดการได้ หากเราช่วยกันเพิ่มมูลค่าข้าวต่อไร่ให้สูงขึ้น แต่ยังควบคุมต้นทุนเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพ ชาวนาก็จะมีรายได้สุทธิมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วยค่ะ”
ทิ้งท้ายไว้ด้วยเร็วๆ นี้จะมีงาน Thailand Rice Fest 2025 วันที่ 4–7 ธันวาคม 2568 เวลา 10:00-20:00 น. ณ IMPACT Exhibition Center Hall 11–12 เข้าชมฟรี ในงานจะเป็นพื้นที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภค นักวิจัย ผู้ประกอบการ และภาครัฐได้สัมผัสทิศทางใหม่นี้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการชิมข้าวประณีตหลากสายพันธุ์ การจับคู่กับอาหารท้องถิ่นจากทั่วประเทศ และการเชื่อมต่อซื้อขายจริงระหว่างผู้ผลิต-ผู้ประกอบการในงานเดียว












