เวลานี้ทั่วโลกกำลังเฝ้าติดตามสงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างใกล้ชิด เพราะแน่นอนว่ากระทบกับกลุ่มคนทั้งโลก โดยเฉพาะในด้าน ‘การลงทุน’ ที่กลุ่มนักลงทุนยังคงอยู่ในช่วงเฝ้าระวังและวิเคราะห์แผนการลงทุนที่เหมาะสมกับช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ดี สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ได้ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับช่วงเวลานี้ไว้ ด้วย 4 เรื่องหลัก ดังนี้
[ความขัดแย้งจะรุนแรงและนานแค่ไหน]
ทางด้าน ‘สุกิจ อุดมศิริกุล’ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับความรุนแรงของสงครามในอิสราเอลครั้งนี้นับว่ารุนแรงเพราะมีจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงมาก ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงและมีผลกระทบสูงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2014
ซึ่งผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่เกิดการสู้รบเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบไปยังบริเวณใกล้เคียงและทำให้การลงทุนของธุรกิจต่าง ๆ ต้องชะลอลงไปด้วย ท่าเรือและสนามบินมีการระงับ รวมถึงปฏิกิริยาของบริษัทระดับโลกที่มีต่อสงครามในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจสายการบิน , โลจิสติกส์, เทคโนโลยี, พลังงาน, ธนาคารและกลุ่มค้าปลีก เพราะฉะนั้นผลกระทบยังอยู่ในจุดที่ต้องตามต่อ
ทั้งนี้ตลาดมีความกังวลต่อบริษัทเทคโนโลยีในอิสราเอลเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในอิสราเอลและมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยคิดเป็น 14% ของการจ้างงานและเป็น 1 ใน 5 ของ GDP ในประเทศซึ่งหากสงครามยืดเยื่ออาจทำให้ภาคเทคโนโลยีหยุดชะงัก
‘ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า สำหรับสงครามครั้งนี้เรามองว่าไม่น่าจะยืดเยื้อเนื่องจากกำลังทหารทางอิสราเอลมีมากกว่าปาเลสไตน์ ฉะนั้นเมื่อทางการอิสราเอลประกาศสงครามเต็มรูปแบบด้วยกำลังทางทหารที่มากกว่าสงครามจึงน่าจะจบในไม่ช้า
นอกจากนี้โอกาสของสงครามที่จะขยายไปยังที่อื่น ๆ มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างต่ำ เนื่องจากไม่น่าจะมีประเทศใดที่ออกมาให้การสนับสนุนและยอมรับปฏิบัติการทางทหารของฮามาซ และทางสหรัฐได้ประกาศเข้าร่วมช่วยเหลือทางฝั่งอิสราเอลด้วย
[ทิศทางราคาน้ำ,เงินเฟ้อและจีดีพี]
‘ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์’ กล่าวว่า ในส่วนของแนวโน้มราคาน้ำมันแม้ว่าสงครามครั้งนี้ไม่น่าจะลุกลามรุนแรงจนกลายเป็นสงครามในภูมิภาค แต่ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ในระยะใกล้โดยมองว่าด้วยความที่อุปสงค์และอุปทานน้ำมันโลกค่อนข้างตึงตัว ดังนั้นความเสี่ยงด้านภูมิลักษณะอาจทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 5 ดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้น อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์คลี่คลายราคาน่าจะปรับลดลงได้
ขณะที่ในการประมาณการเศรษฐกิจเงินเฟ้อและดอกเบี้ย ได้มีการวิเคราะห์ความอ่อนไหวจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน โดยในสมมติฐานหากให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เบล แบ่งออกเป็น 2 แบบ
1.เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวชะลอลง -0.1% เงินเฟ้อสหรัฐเพิ่ม +0.8% ขณะที่ดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
2.เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวชะลอลง -0.08% เงินเฟ้อสหรัฐเพิ่ม +0.5% ขณะที่ดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
แต่ในกรณีเลวร้าย ตั้งสมมติฐานว่าหากอีหร่านมีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งนี้ แล้วสหรัฐกลับไปคว่ำบาตรเศรษฐกิจอิหร่านอีกครั้ง ทำให้อิหร่านผลิตหรือส่งออกน้ำมันดิบลดลง 1 ล้านบาเรลล์ต่อวันและทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จากกรณีฐาน) ด้วยสมมติฐานดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันจะสูงกว่ากรณีฐานตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้ไปจนตลอดทั้งปี 2567
ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเล็กน้อยเงินเฟ้อสูงขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) จะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่ากรณีฐาน ส่วนเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ลดลง เงินเฟ้อสูงขึ้นและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะต้องขึ้นดอกเบี้ยมากกว่ากรณีฐาน
[อุตสาหกรรมของไทยที่กระทบ]
‘สุกิจ อุดมศิริกุล’ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ว่า สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน เป็นผลกระทบในเชิงบวก แม้ว่าราคาน้ำมันในประเทศไทยยังคงผันผวนอยู่ตลอด
แต่เพราะไตรมาสที่ 4 ตลาดน้ำมันยังคงเปราะบาง มีซัพพลายที่น้อยกว่าดีมานด์ ทำให้น้ำมันยังคงอยู่ในระดับความต้องการที่สูง กลับกันในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า กำลังเผชิญกับราคาน้ำมันสูงซึ่งหนุนให้ราคาก๊าซสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งกลุ่มนี้จะส่งผลในระยะยาว
อย่างไรก็ดี หากเกิดสงครามในระยะยาวจะกระทบต่อ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เพราะกลุ่มผู้ป่วยที่มาใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่อยู่ที่ 30% ซึ่ง หากมองจากงบการเงินของ BH จะพบว่ารายได้ 7% นั่นมาจากกลุ่มผู้ป่วยตะวันออก เช่น กาตาร์, คูเวตและสหรัฐเอมิเรตส์
โดยที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและยานยนต์นั้นไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่นักจากสงครามครั้งนี้ ทิศทางการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้เลยอยู่ใน อุตสาหกรรมพลังงาน, อุตสาหกรรมไฟฟ้านั่นเอง
[คำแนะนำในการลงทุน]
ในเชิงปัจเจกพื้นฐานตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากนัก ซึ่งผลกระทบจะจำกัดอยู่ใน ‘กลุ่มพลังงาน’ และ ‘กลุ่มไฟฟ้า’ เท่านั้น แต่ในอนาคตหากมีประเทศอื่น ๆ ต้องมีเกี่ยวข้องกับสงครามอาจส่งผลให้มีผลกระทบที่ของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 และผลกระทบในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้










