ใครที่โตมากับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น หรือ ‘มังงะ’ ต่างก็รู้กันดีว่า กว่าจะได้อ่านเล่มใหม่ๆ ตอนใหม่ๆ จำเป็นต้องรอแปลไทยจากสำนักพิมพ์เป็นสัปดาห์
แน่นอนว่าในตอนนั้นมีเพียง ‘มนุษย์’ ที่ช่วยแปลคำและเรียบเรียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยแปลภาษา ทำให้การรอมังงะตอนใหม่ อาจไม่ช้าอีกต่อไป
[ ใช้ AI ลดเวลาแปลเหลือ 3 วัน ]
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักพิมพ์ Mantra เจ้าของหนังสือการ์ตูน Dragon Ball, Jujutsu Kaisen รวมถึงสำนักพิมพ์และบริษัทอื่นๆ อาทิ Shueisha, Shogakukan, Kadokawa และ Square Enix Holdings
ประกาศลงทุนในสตาร์ทอัพ AI ของสหรัฐอเมริกา ด้วยงบการลงทุนราวๆ 4.9 ดอลลาร์เหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 180 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน AI แปลภาษา ที่ใช้สำหรับการแปลมังงะโดยเฉพาะ
กลไกคร่าวๆ ของระบบ AI ช่วยแปลคือ จะใช้การจดจำรูปภาพเพื่อระบุข้อความในมังงะ โดยการแปลข้อความในเล่มมังงะครั้งแรกจะผ่านการใช้ AI หลังจากนั้นจะมีการปรับแต่งคำโดยมนุษย์เหมือนเดิม
แม้จะยังมีนักแปลที่เป็นมนุษย์อยู่ในกระบวกการ แต่คาดว่าเทคโนโลยี AI แปลภาษา จะช่วยลดเวลาในการแปลมังงะลงเหลือเพียง 3 วัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลานานถึง 1 สัปดาห์
[ แปลพลาดน้อยมากหลังจากใช้ AI ]
สำนักพิมพ์ Mantra มีมังงะที่ต้องแปลขายไปยัง 18 ภาษาทั่วโลก อาทิ อังกฤษ จีน และโปรตุเกส โดยเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว สำนักพิมพ์จะต้องแปลมังงะราว 100,000 หน้า เทียบเท่ากับ 500 เล่มต่อเดือน
อย่างที่เราทราบกันดีว่า มังงะล้วนมีคำศัพท์เฉพาะตัว ทำให้ในการแปลสู่ภาษานั้นๆ ค่อนข้างลำบาก แต่สำนักพิมพ์ Mantra เผยว่า ตั้งแต่ใช้ AI จดจำภาพและโมเดลภาษาขนาดใหญ่
สามารถจับคู่คำพูดกับตัวละครแต่ละตัวได้ง่ายขึ้น ทำให้มีอัตราแปลผิดจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษเพียง 1.6% เท่านั้น ซึ่งในอนาคตเราอาจจะได้อ่านมังงะที่มาไวขึ้น และได้อรรถรสจากภาษาเหมือนเดิม
นี่ทำให้สำนักพิมพ์อื่นๆ ทยอยลงทุนใน AI มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะลดระยะเวลาในการแปลมังงะ และตั้งเป้าจะเพิ่มอัตราการแปลด้วยเช่นกัน
[ เตรียมส่งออกมังงะเพิ่มขึ้น 4 เท่า ]
ทั้งนี้ มังงะ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะส่งออกมังงะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า คิดเป็นมูลค่าราว 20 ล้านล้านเยน หรือราวๆ 4 ล้านล้านบาท ภายในปี 2576
ที่มา










