ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน)’ หรือ ‘JKN’ มีกำไรติดต่อกันทุกปี
- ปี 2562 รายได้ 1,711 ล้านบาท กำไร 253 ล้านบาท
- ปี 2563 รายได้ 1,683 ล้านบาท กำไร 312 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 1,806 ล้านบาท กำไร 179 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 2,670 ล้านบาท กำไร 608 ล้านบาท
- 6 เดือน ปี 2566 รายได้ 1,500 ล้านบาท กำไร 121 ล้านบาท
แต่ถึงอย่างนั้นบริษัทกลับไม่สามารถจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดได้และเกิดการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในที่สุด
โดย JKN ไม่สามารถจ่ายคืนหนี้หุ้นกู้ รุ่น JKN239A ที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา มูลค่า 609 ล้านบาท และมีการขอมติผ่อนผันจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อป้องกันปัญหาผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่นอื่น ๆ ที่จะครบกำหนดในปี 2567 และ 2568
ทำให้ปัจจุบัน JKN มีหนี้อยู่ 7,399 ล้านบาท เป็นหนี้สินหมุนเวียน 4,369 ล้านบาท และมีปัญหาเรื่องของสภาพคล่องทางการเงินจนถึงคราวยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
TODAY Bizview พาย้อนดูเหตุการณ์ของ JKN ก่อนเดินทางมาถึงวันที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการในที่สุด
ย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค.ปี 2565 ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ซีอีโอของ JKN ประกาศรับภารกิจจักรวาลด้วยการซื้อเวที Miss Universe ด้วยเงินลงทุนราว ๆ 500 ล้านบาท และทำให้ JKN กลายเป็นหนึ่งหุ้นน่าสนใจของนักลงทุนในช่วงเวลานั้น
ก่อนหน้านี้เดิมที เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป มีธุรกิจด้านสื่อ (JKN) และคอนเทนต์คุณภาพมากมาย อาทิ ช่องโทรทัศน์ JKN18, นำเข้าสื่อ และคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมไปถึง ธุรกิจสุขภาพความงาม, ธุรกิจเครื่องดื่ม
ซึ่งดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งเดือน ส.ค. 2565 บริษัทฯ มีข่าวผิดนัดชำระหุ้นกู้ ซึ่งหลายคนก็มองว่า เพราะทุ่มเงินไปกับภารกิจของจักรวาลมากเกินไปหรือไม่?
จนเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ซีอีโอของ JKN ได้ออกมาแถลงข่าวถึงสาเหตุที่บริษัทฯ ผิดชำระหนี้หุ้นกู้ว่า JKN มีธุรกิจครอบจักรวาล มีบริษัทอยู่ในหลายประเทศ และบริษัทกำลังเติบโต แต่ต้องมาเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อซึ่งส่งเอฟเฟกต์ไปทั่วโลก รวมถึงไทยด้วยซึ่งส่งผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นแย่ลงมาก
นอกจากนี้ ยังพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลในตอนนั้น ที่แม้ว่าจะผ่านการเลือกตั้งผ่านไปแล้วกว่า 3 เดือน แต่เพิ่งได้จัดตั้งรัฐบาล กระทบความเชื่อมั่น และทำให้นักลงทุนถอนหุ้นออกไปเยอะ
และด้วยธุรกิจที่มีครอบจักรวาล โดยเฉพาะการซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากต่างประเทศ ทำให้ JKN จำเป็นจะต้องจ่ายต้นทุนค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างๆ ตามสัญญา
โดยบริษัทฯ ลงบัญชีในรูปแบบสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ทำให้กระแสเงินสดในบริษัทจะต้องหยิบไปลงทุนอยู่เสมอ ซึ่งในแต่ละปีบริษัทมีงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน ดังนี้
- ปี 2562 ใช้เงินลงทุน 974 ล้านบาท
- ปี 2563 ใช้เงินลงทุน 2,020 ล้านบาท
- ปี 2564 ใช้เงินลงทุน 2,259 ล้านบาท
- ปี 2565 ใช้เงินลงทุน 2,847 ล้านบาท
- 6 เดือน ปี 2566 ใช้เงินลงทุน 1,589 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อลองนำงบกระแสเงินสดเทียบกลับกำไรในแต่ละปี จะเห็นได้ชัดว่าถึงแม้บริษัทจะดูเหมือนมีกำไรในทุกๆ ปี แต่ด้วยรายจ่ายจำนวนมากและการลงทุนที่หนักมาโดยตลอด ทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องขึ้นนั่นเอง
จนในท้ายที่สุดวานนี้ (8 พ.ย. 2566) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2566 ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัทในฐานะลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการแล้วต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและชำระหนี้คืนลูกหนี้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว










