‘อาเซียน’ สอบไม่ผ่าน? วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเสียงปืนดังกว่าเสียงประชาคมภูมิภาค

‘อาเซียน’ สอบไม่ผ่าน? วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเสียงปืนดังกว่าเสียงประชาคมภูมิภาค

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เสียงระเบิดและการยิงตอบโต้ดังขึ้นไม่หยุดบนชายแดนไทย–กัมพูชา จนกลายเป็นการปะทะข้ามแดนที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และยิ่งส่อเค้าบานปลายราวกับไม่มีตัวกลางคอยดึงเบรก

แต่ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังไม่รู้จบ กลับมีเสียงหนึ่งที่เงียบราวกับไม่เคยมีอยู่ คือความเงียบของ ‘อาเซียน’ ประชาคมภูมิภาคที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและความร่วมมือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่กลับแทบไม่ปรากฏบทบาทในวิกฤตที่เกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง

ความเงียบนี้กระตุ้นให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า เมื่อสมาชิกอาเซียนสองประเทศกำลังยิงใส่กันจริงๆ ประชาคมนี้ควรยืนอยู่ตรงไหน? และเหตุใดเสียงของอาเซียนจึงเบากว่าเสียงปืนที่ดังสะท้อนเหนือพรมแดนไทย–กัมพูชา?

เพราะสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งชายแดนธรรมดา แต่เป็นรอยปริแตกที่ถูกขุดขึ้นมาหลายชั้น ทั้งแรงกดดันทางการเมืองภายในสองประเทศ และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่อาเซียนเผชิญมานาน จนทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า องค์กรที่มีสมาชิก 11 ประเทศนี้สามารถยับยั้งวิกฤตระหว่างสมาชิกของตัวเองได้จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว อาเซียนถูกออกแบบมาเพื่อ ‘เงียบ’ ตั้งแต่ต้น

 

วิกฤตชายแดนขยายวงไกลกว่าที่คาด

การปะทะระลอกล่าสุดไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจุดเดียว แต่ลุกลามเป็นหลายแนวรบตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่สระแก้ว–บันเตียเมียนเจย ไปจนถึงศรีสะเกษ–อุดรมีชัย มีรายงานว่ากองกำลังกัมพูชาใช้ทั้งปืนใหญ่ จรวด BM-21 และโดรนโจมตีเข้ามาในดินแดนไทย ขณะที่กองทัพไทยปฏิบัติการตอบโต้อย่างต่อเนื่อง

ความรุนแรงเหล่านี้สะท้อนผ่านตัวเลขความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุด ณ วันที่ 11 ธ.ค. ฝั่งไทยมีทหารเสียชีวิต 9 นาย บาดเจ็บมากกว่า 120 นาย ส่วนพลเรือนจากทั้งสองประเทศนับแสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงในเวลาอันสั้น ยังไม่รวมความเสียหายต่อชุมชน และแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่อาจตามมา หากความตึงเครียดลุกลามยืดเยื้อ

และวิกฤตเช่นนี้เองที่ทำให้บทบาทของ ‘อาเซียน’ กลายเป็นจุดโฟกัสอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่คือความขัดแย้งระหว่างสมาชิกของประชาคมเดียวกัน และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่การปะทะขยายวงถึงระดับที่กระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของภูมิภาค—ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายแรงงาน

ภายใต้กรอบหน้าที่ขององค์กรภูมิภาค อาเซียนจึงถูกคาดหวังให้เป็นพื้นที่กลางในการลดแรงปะทะ ผ่านกลไกไกล่เกลี่ย มาตรการลดความตึงเครียด หรือแม้แต่การส่งผู้สังเกตการณ์ภาคสนามเพื่อช่วยคลายสถานการณ์ แต่บทบาทเหล่านั้นกลับแทบไม่ปรากฏ แม้สถานการณ์จะพัฒนาไปถึงจุดที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปฏิญญาหยุดยิงที่ให้คำมั่นต่อหน้าประธานอาเซียน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสองเดือนก่อน กำลังใกล้พังทลายลงทุกขณะ

ยิ่งการปะทะบนภาคพื้นขยายตัวเร็วเท่าไร คำถามต่ออาเซียนยิ่งดังชัดขึ้นว่า “ประชาคมนี้พร้อมแค่ไหน เมื่อสงครามเกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง?”

 

ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทำให้อาเซียนต้อง ‘นิ่ง’ กว่าที่ควรเป็น

เพื่อเข้าใจเหตุผลที่อาเซียนแทบไม่มีบทบาทในวิกฤตครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปที่โครงสร้างขององค์กรเอง เพราะแม้อาเซียนจะถูกสร้างขึ้นเพื่อความร่วมมือ แต่กลไกที่มีอยู่กลับแทบไม่สามารถจัดการความขัดแย้งระหว่างสมาชิกได้เลย เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่มากมาย

ข้อจำกัดแรกคือ ‘หลักการไม่แทรกแซง’ (Non-interference) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอาเซียนมาตลอดหลายทศวรรษ แต่วันนี้มันกำลังกลายเป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุด แม้หลักการไม่แทรกแซงจะถูกออกแบบมาเพื่อลดความตึงเครียดในยามปกติ แต่เมื่อคู่ขัดแย้งคือสมาชิกของตัวเอง สถานการณ์กลับต่างออกไป ทั้งไทยและกัมพูชาต่างมองว่าปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่เป็นเรื่องของอธิปไตย และไม่ต้องการส่งสัญญาณว่าต้องพึ่งแรงกดดันจากอาเซียน จึงทำให้ประชาคมไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะก้าวเข้ามาเป็นตัวกลาง แม้สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นก็ตาม

ปัญหาต่อมาคือ ‘ระบบฉันทามติ’ ซึ่งทำให้อาเซียนไม่สามารถเคลื่อนไหวรวดเร็วได้อย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเกิดวิกฤตในลักษณะนี้ ทุกการออกแถลงการณ์หรือมาตรการใดๆ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกทั้งหมดยกชุด และเพียงเสียงคัดค้านจากประเทศเดียวก็สามารถทำให้ทั้งกระบวนการหยุดลงทันที ในบริบทไทย–กัมพูชา ความหวังที่จะเห็นท่าทีร่วมที่มีน้ำหนักหรือมาตรการด้านความมั่นคงเข้ามาช่วยลดแรงปะทะ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น

ยิ่งไปกว่านั้น อาเซียนยังไม่มีเครื่องมือด้านความมั่นคงของตัวเองจริงๆ ต่างจากองค์กรภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพแอฟริกา หรือสหภาพยุโรป ที่มีกองกำลังรักษาสันติภาพหรือกลไกตรวจสอบภาคสนามแบบบังคับ แต่อาเซียนไม่มีแม้กระทั่งกองกำลังกลาง ไม่มีศูนย์จัดการวิกฤตที่มีอำนาจ และไม่มีบทลงโทษที่ใช้กับสมาชิกที่ละเมิดข้อตกลงหรือปฏิเสธการลดระดับความตึงเครียด เมื่อไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ ประชาคมจึงทำได้เพียง “เรียกร้องให้ยับยั้ง” มากกว่าการบังคับให้เกิดการลดความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นโครงสร้างที่ผลักให้อาเซียนต้อง ‘นิ่ง’ กว่าที่ควรจะเป็น แม้ในวิกฤตที่เกิดขึ้นในบ้านของตัวเองก็ตาม

 

แรงสั่นสะเทือนภายในประเทศ ผลักดันวิกฤตลุกลาม

อีกปัจจัยที่ถูกมองว่าเป็นตัวเร่งให้ความรุนแรงลุกลาม คือแรงกดดันทางการเมืองภายในของทั้งไทยและกัมพูชา ซึ่งกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาที่ผู้นำทั้งสองประเทศอยู่ในสภาพเปราะบางเป็นพิเศษ

บทวิเคราะห์ของสำนักข่าว CNA สื่อสิงคโปร์ ตั้งข้อสังเกตประเด็นไว้อย่างน่าสนใจว่า สาเหตุที่แท้จริงของการบานปลายครั้งนี้ อาจไม่ได้มาจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลพวงของ ‘ปัจจัยภายใน’ ในแต่ละประเทศ ทั้งการเมืองที่สั่นคลอน เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และแรงกดดันจากความคาดหวังของสังคม ซึ่งอาจทำให้ผู้นำบางฝ่ายเห็นประโยชน์จากการปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ

แจ็ค บอร์ด ผู้สื่อข่าวของ CNA ประจำกรุงเทพฯ อธิบายว่า ในฝั่งไทย รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเผชิญแรงเสียดทานอย่างหนัก หลังเข้าบริหารประเทศได้เพียงไม่กี่เดือน ทั้งจากการจัดการน้ำท่วม การเตรียมความพร้อมซีเกมส์ ไปจนถึงกระแสข้อสงสัยเกี่ยวกับเครือข่ายสแกม ขณะที่ผลสำรวจปลายเดือนพฤศจิกายนระบุว่า คะแนนนิยมของนายอนุทินลดจาก 48% เหลือเพียง 23% ซึ่งย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้งปีหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แรงกดดันเช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายจับตาความเสี่ยงของการ ‘ใช้ชาตินิยมเป็นเกราะกำบัง’ เพราะในจังหวะที่รัฐบาลต้องการเปลี่ยนจุดสนใจของสังคม แม้ไม่ได้ตั้งใจจุดชนวนความขัดแย้ง แต่โครงสร้างอำนาจแบบไทย ที่ฝ่ายพลเรือนยังต้องพึ่งพากองทัพ ทำให้คำสั่งควบคุมสถานการณ์ชายแดนไม่ได้อยู่ในมือรัฐบาลโดยสมบูรณ์ และเป็นสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เหตุปะทะครั้งนี้อาจเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่

ส่วนในกัมพูชา ภาพสะท้อนก็แทบไม่ต่างกัน คือเศรษฐกิจชะลอตัว แรงงานจำนวนมากเดินทางกลับประเทศพร้อมภาระหนี้สิน และความกดดันจากสหรัฐฯ หลังคว่ำบาตรกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกม ล้วนเป็นแรงบีบให้ผู้นำต้องแสดงความแข็งแกร่ง เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของสังคม โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อนำแรงสั่นสะเทือนในทั้งสองประเทศมารวมกัน ความเสี่ยงที่เหตุปะทะจะถูกมองเป็น ‘ภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ต้องตอบโต้ทันที’ จึงเพิ่มสูงขึ้น เพราะการถอยเพียงก้าวเดียวอาจถูกตีความว่าเป็นความอ่อนแอในสายตาประชาชน

ผลลัพธ์คือสถานการณ์ชายแดนที่ควบคุมได้ยากขึ้นทุกวัน ความร้อนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะการยิงตอบโต้ แต่ถูกขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งจากสนามปฏิบัติการและแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในเมืองหลวง ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา

 

วิกฤตที่กำลังทดสอบอนาคตของภูมิภาค

วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเหตุปะทะระหว่างสองประเทศ หากแต่เป็นภาพจำลองของปัญหาใหญ่กว่าที่สั่งสมมานาน ปัญหาที่โยงจากแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองภายใน ไปจนถึงโครงสร้างภูมิภาคที่ยังไม่พร้อมรับมือความขัดแย้งยุคใหม่

เมื่อผู้นำทั้งสองประเทศกำลังเดินอยู่บนพื้นทางการเมืองที่สั่นไหว ขณะที่อาเซียนยังยึดติดกับหลักการเดิมที่ทำให้ไม่อาจก้าวเข้ามาเป็นตัวกลางได้ทันเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นที่ชายแดนจึงไม่ใช่เพียงผลของการยิงโต้ตอบ แต่คือผลสะท้อนของภูมิภาคที่กำลังสูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ‘ภายในบ้าน’

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนตรงกันว่า หากสถานการณ์ลุกลามออกไปอีกเพียงไม่กี่ขั้น ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่แค่แนวชายแดน แต่จะพาดผ่านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การค้า แรงงาน และความร่วมมือด้านความมั่นคงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ข้อจำกัดของอาเซียนอาจไม่ใช่ปัญหาทางทฤษฎีอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นจุดเปราะทางยุทธศาสตร์ที่โลกต้องจับตา

คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “อาเซียนจะทำอะไรได้บ้าง?” แต่คือ “อาเซียนยังสามารถเป็นหลักประกันเสถียรภาพให้ภูมิภาคนี้ได้จริงหรือไม่?”

ในวันที่ความขัดแย้งสามารถปะทุขึ้นจากแรงสั่นสะเทือนภายในเพียงชั่วข้ามคืน และเสียงปืนของสมาชิกดังกว่าเสียงของประชาคมที่ควรยืนอยู่ตรงกลาง วิกฤตรอบนี้อาจเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมสำหรับโลกยุคใหม่จริงหรือไม่

 

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
‘อาเซียน’ สอบไม่ผ่าน? วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเสียงปืนดังกว่าเสียงประชาคมภูมิภาค