“การปฏิบัติทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ คือการทูต และเศรษฐกิจ ต้องทำคู่กันไป ไม่ใช่โยนภาระให้ทหาร เหมือนเล่นดนตรีเดียวกัน โดยมีนายกฯ เป็นคอนดักเตอร์” คล้ายเดินหน้าแล้วถอยหลังไกลกว่าเดิม สำหรับความภัยความมั่นคงระลอกใหม่ ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยบาดเจ็บร้ายแรงอีกครั้ง จากทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งที่ปฏิญญาสันติภาพเกือบคืบหน้า
‘การหาสมดุล’ ผ่อนหนักผ่อนเบา เพื่อผลักดันด้วย 4 ประเด็น คือ ทางทหาร การทูต การเมือง และเศรษฐกิจ นับเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม นี่เป็นความเห็น จากประสบการณ์กว่า 26 ปี กับชีวิตคุณครูโรงเรียนทหาร ทั้งร่วมศึกครั้งพิพาทเขาพระวิหาร ปี 2554 มาแล้ว ของ พลเอก ดิเรก ดีประเสริฐ ก่อนปิดฉากชีวิตเกษียณด้วย ตำแหน่งผู้บัญชาการ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ในปี 2564
ที่ยังคงมองว่า ‘สันติภาพ’ ยังคงเป็นปลายทางของความขัดแย้งนี้ แม้ท้ายสุดเราอาจไม่ได้มิตรคืนมาก็ตาม แต่ความเป็น ‘ปฏิปักษ์’ ต้องไม่อยู่ในระดับที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ความขัดแย้งที่ยังมองไม่เห็นปลายทาง จะชัดเจนขึ้นได้อย่างไร แล้วสมดุลที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
เรารู้เขา เขารู้เรา
อาจารย์เสนาธิการรายนี้ ออกตัวตั้งแต่ต้นว่า ไม่ได้บ้าสงคราม แต่ความขัดแย้งเชิงพื้นที่ เมื่อถึงจุดหนึ่งอย่างไรเสียก็ไม่สามารถเลี่ยงเหตุปะทะได้ แต่ข้อสำคัญ คือ ทำอย่างไรถึงจะสูญเสียน้อยที่สุด ถึงจะนับว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง
พล.อ. ดิเรก กล่าวว่า ความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ย่อมเกิดขึ้นได้ในหลากมิติ ทว่า ‘ความฮึกเหิมของผู้นำ’ กัมพูชา กลายเป็นชนวนใหญ่ครั้งนี้ เสียมากกว่าเรื่องคอลเซ็นเตอร์ หรือความขัดแย้งทางธุรกิจผิดกฎหมายเสียอีก และในสายตาทหารเก่า กองทัพกัมพูชา ณ วันนี้ ต่างกับปี 2554 อย่างมากทั้ง ความพร้อมและการพัฒนาสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ตลอด 20 ปีมานี้ มีความร่วมมือทางการทหาร ไทย-กัมพูชา
อย่างที่ ไทยมีการนำระบบ รร.เสนาธิการทหารของสหรัฐฯ มาปรับใช้ โดยมีนายทหารของกัมพูชา มาร่วมเรียนใน รร.เสนาธิการทหารบก ยิ่งทำให้ ผู้นำกัมพูชา เห็นความพร้อมของพลทหาร รวมถึงทหารในระดับบังคับบัญชา
“เขารู้ว่า ทหารเราคิดอะไร…เขาได้เรียนรู้ว่าเราคิดกันยังไง ระบบการบริหาร จัดการกองทัพในสนามรบเป็นยังไง”

ทั้งนี้ พล.อ. ดิเรก มองว่า ความมุ่งหมายของผู้นำกัมพูชา ยังคงต้องการได้พื้นที่โบราณสถานที่ยังคงพิพาทกันอยู่คืน ดังนั้น เขายังคงต้องใช้วิธีปะทะ ถึงได้เห็นทุ่นระเบิดอย่างที่ผ่านมา เพื่อหวังทำลายกำลังฝ่ายตรงข้าม การที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ให้ไฟเชียว และ นายกฯ พูดชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ว่าให้ทหารปฏิบัติการตามขีดความสามารถตนเอง และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย จึงเป็นเรื่องเห็นสมควร
“การพูดชัดเจนก็ทำทุกองคาพยพของรัฐ บูรณาการการทำงาน เพื่อเรียกคืนดินแดน และเกียรติยศและศักดิ์ศรีของคนไทย ที่มีต่อประชาคมโลก”
รับมือเพื่อนบ้านที่ไม่ชอบหน้ายังไง รับมือ ‘กัมพูชา’ อย่างนั้น
พล.อ. ดิเรก อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างไทยกัมพูชา ด้วยนิยามของ ‘ภัยคุกคาม’ ที่มากไปกว่าแค่การเป็นปฏิปักษ์ หรือ ศัตรูกัน โดยเปรียบเทียบ กัมพูชา เป็นเหมือนคนข้างบ้านรั้วติดกัน เป็นศัตรูเราจริง เขาไม่ชอบเรา แต่ไม่ได้ทำอะไรเรา แต่ ณ วันนี้ กัมพูชาทำแล้ว ทั้งทางการทหาร ทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ
รวมถึงการวางระเบิดก่อกวน จนทำให้ชาวบ้านอยู่ไม่เป็นสุข ล้วนนับเป็นการคุกคามต่อชีวิตประจำวัน การรับมือจึงไล่ระดับไปตามความเหมาะสม พล.อ. ดิเรก ชี้ว่าทุกวันนี้กัมพูชาใช้ยุทธการที่เรียกว่า ‘ทวีกำลัง’ ศักยภาพน้อยกว่า แต่แสดงตนว่ามีพลังอำนาจ เทียบเท่าคนที่มีศักยภาพสูงกว่า
“เขาทวีกำลังตัวเอง โดยใช้ศาลโลก ยูเอ็น ชาติมหาอำนาจ เพื่อให้ประเทศใหญ่กว่าอย่างเราถูกลดทอนกำลัง กลายเป็นว่าตัวใหญ่กว่า แต่ทำอะไรเขาได้ไม่เต็มที่ อันนี้คือยุทธศาสตร์”
เช่นนี้เอง ไทยจึงไม่ต่างกับถูกบีบให้ต่อสู้ในที่ทางซึ่งไม่ถนัด คล้ายคนตัวใหญ่ต้องไปสู้ในซอกตึก เราตัวใหญ่ก็จริงแต่อึดอัด จนชกเขาซึ่งตัวเล็กกว่าไม่ถนัด ดังนั้นการตั้งรับเชิงรุกจึงเป็นสิ่งที่ พล.อ. ดิเรก มองว่าจำเป็นและเชื่อว่า กองทัพไทยกำลังดำเนินการเต็มที่ เพียงแต่ต้องเพิ่มปฏิบัติการข่าวสารที่รวดเร็วขึ้นด้วย

ในขณะที่การต่อสู้ตรงหน้าต้องดำเนินไปตามสถานการณ์นั้น อย่างที่กล่าวไปว่า การเป็นภัยคุกคาม จะต้องประกอบด้วย เจตนารุกราน และขีดความสามารถ ทั้งทางการทหารและการเมือง ซึ่งกัมพูชามีครบทั้งหมด ดังนั้น การลดทอนให้เขาเป็นเพียงปฏิปักษ์ จึงเป็นก้าวต่อไป
“เพื่อนบ้านตีกัน จะให้มาจับมือ โดย อบต. เทศบาล เป็นคนกลาง ไม่ง่ายอย่างนั้น…เขาไม่ชอบ เกลียดเรา แต่เขาต้องไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง เราต้องทำทุกทาง ทั้งการพัฒนา ดีลกันทางเศรษฐกิจ การทูต ทั้งหมดต้องทำอย่างจริงจัง เพราะนี่เป็นภาวะสงคราม เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับรัฐ”
พล.อ. ดิเรก กล่าวว่า ทุกวันนี้ ไทย-กัมพูชา นับว่าเป็นสงครามตามแบบ ไม่ใช่การต่อสู้ทางความคิด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทั้งเสธไทยและเพื่อนบ้าน ต่างเล่าเรียนมาเหมือนกัน อยู่แค่ว่าใครจับจังหวะได้ก่อน
สิ่งหนึ่งที่อาจหายไปในช่วงเวลานี้ คือ ‘การซ้อมรบ’ ระหว่างมีการปะทะ ในทหารทุกเหล่าทัพ โดย พล.อ. ดิเรก มองว่า เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยป้องปราบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างดี ไม่ได้หวังผลเพื่อเตรียมความพร้อมกำลังพลเท่านั้น ซึ่งกองทัพสหรัฐ ที่มีศักยภาพก็พิสูจน์ และแสดงตัวอย่างให้เห็นในหลายสมรภูมิ
และหากหลายอย่างคลี่คลาย ก็คงไปสู่แผนฟื้นฟูความสัมพันธ์ ซึ่งวันใดวันหนึ่งต้องเกิดขึ้น โดยเฉพาะหากวันนั้นผู้นำทางจิตวิญญาณของกัมพูชาเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ย่อมหาหนทางแสดงออก จากที่ถูกกดทับมานาน “ถึงวันนั้นก็เริ่มต้นใหม่ ระยะยาวเริ่มใหม่เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ดีวันดีคืนก็ต้องใช้เวลา”
อย่าปล่อยให้ทหารเป็นฮีโร่ แค่ตอนเสียงปืนดัง
“เวลาเกิดสงคราม ตายหรือเจ็บ ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะกับกำลังรับคนนั้นนะ มันมีครอบครัวเขาด้วย”
พล.อ. ดิเรก กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาชีพทหารถูกสร้างมาเพื่อการรบ เมื่อมีสงคราม เลยไม่ต่างกับเวลาพิสูจน์ตัวเองว่า เดินสวนสนามเป๊ะ แล้ว หน้างานจริงจะเป็นยังไง ทว่า ผลแพ้ชนะที่แท้จริง ต้องมาควบคู่กับการสูญเสียในวงจำกัด

“ทหารเป็นเครื่องมือนึงของรัฐ ในการผดุงเอกราช อธิปไตย เกียรติยศ และศักดิ์ศรี เมื่อเขาถูกสร้างมาแบบนั้น เขาต้องทำหน้าที่ของเขาเมื่อถึงเวลา ไม่มีการรบใดไม่สูญเสีย ต่างแค่พื้นที่ เวลา กลยุทธ์ สนามรบ”
ดังนั้น บทเรียนจากหลายสงคราม จึงสอนว่าสงครามไม่ได้จบแค่ในสนาม เพราะทุกเวลาที่ล่วงเลยไป เท่ากับกำลังพลที่บาดเจ็บ ล้มตาย รวมถึงผลกระทบต่อครอบครัว ดังนั้น การเยียวยาที่สมน้ำสมเนื้อ และต่อเนื่อง ก็ต้องดำเนินไป แม้จะมีองค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึกดูแล
“ต้องดูแลทหารให้ดีที่สุด ไม่ใช่ 2 ปี เคยดูแลแล้วหาย…ผมทำวิจัยภาคใต้ เสียขาต้องกลับอยู่บ้าน ก็ต้องดูแลกันเองในครอบครัว วันนึงสังคมลืม รัฐต้องเข้มแข็ง ดูแลเขาให้เหมือนวันนี้ เกรงว่าไม่กี่ปีก็ลืม”
พล.อ. ดิเรก มองว่า การได้มาซึ่งสันติภาพ ความสงบสุข มีองค์ประกอบ คือ ‘คู่ขัดแย้ง ที่ต้องมีศักยภาพในการทำสงครามต่างกัน ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้ายังอยู่ใกล้ๆ กัน ต่อให้มีคนกลางวันนึงก็ต้องทะเลาะ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ที่เรื่องเขตแดนยังสำคัญ
‘การรบ’ ถึงได้เป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างสันติภาพ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อล้างผลาญ “ทหารถึงถูกสร้างมาเพื่อการนี้ก็จริง(การรบ)…แต่ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากตาย ไม่อยากรบ มีวิธีอื่นอีกไหม ถ้าไม่มี นี่แหละคือหน้าที่เขา” พล.อ. ดิเรก กล่าวทิ้งท้าย










