ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกาศแผนปี 2566 ตั้งเป้าเป็นธนาคารที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย พร้อมขยายธุรกิจในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
‘เซอิจิโระ อาคิตะ’ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีฯ ตั้งเป้าหมายเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย เพื่อเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินงานของธนาคาร ภายในปี 2573
สำหรับแผนความยั่งยืนในปี 2566 ธนาคารฯ ยังสนับสนุนเรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านและดำเนินงานตามแนวทาง ESG ผ่านหลากหลายโครงการสำหรับทั้งลูกค้าธุรกิจและรายย่อย
ในส่วนของลูกค้าธุรกิจ ธนาคารฯ ให้เงินสนับสนุนกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เช่น หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ จุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน สินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสีเขียว ธุรกิจเพื่อสังคม และธุรกิจเพื่อความยั่งยืนก็เป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
ในส่วนของลูกค้ารายย่อย การให้สินเชื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบต่อสังคม และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG จะได้รับการเสนอให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ธนาคารฯ มีเป้าหมายจะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเป็น 50,000-100,000 ล้านบาทภายในปี 2573
[ แผนของธนาคารกรุงศรีต่อจากนี้ ]
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ กรุงศรีฯ จะเติบโตผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน คือ
1. การทำธุรกิจที่เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-Linked Business) ผ่านนวัตกรรมบริการด้านการเงิน
2. การดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนตามโมเดล ESG (ESG-Linked Business) เพื่อเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดของประเทศไทย
3. การเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อความยั่งยืน และการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital & Innovation) ด้วยการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อลูกค้าทั้งในประเทศไทยและอาเซียน
ส่วนเป้าหมายด้านการเงินในปีนี้ กรุงศรีฯ คาดว่าเงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะอยู่ที่ 3.5% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) จะยังอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว 2.5-2.6%
เมื่อถามถึงการดูแล NPL หลังจบมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ซีอีโอกรุงศรีฯ ยอมรับว่า NPL ของธนาคารฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และแม้ว่าจะเพิ่มขึ้น NPL ของกรุงศรีฯ ก็ยังอยู่ในระดับต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม
ส่วนเทรนด์ของผู้ร่วมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) กับบริษัทบริหารหนี้เพื่อดูแลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้น ปัจจุบันธนาคารฯ ยังสามารถจัดการเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีการขายหนี้เสียออกอย่างเป็นประจำในช่วงเดือน มิ.ย. และ ธ.ค. มูลค่าราว 1,000-3,000 ล้านบาทต่อปี
[ คาดหวังรายได้ 10% จากอาเซียน ]
ซีอีโอของกรุงศรีฯ กล่าวว่า เพื่อต่อยอดจากรากฐานที่มั่นคงในภูมิภาคอาเซียน ในปี 2566 กรุงศรีฯ ตั้งเป้าที่จะผนึกกำลังธุรกิจต่างๆ ในอาเซียนภายใต้กลยุทธ์ One Krungsri เพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าในประเทศไทยและอาเซียน
ด้วยเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดบริการทางการเงินที่สำคัญ อาทิ บริการโอนเงิน การลงทุนในต่างประเทศ บริการที่ปรึกษา และบริการอื่นๆ อย่างบัตรเครดิตที่จะเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้นด้วยการนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า
นอกจากนี้ ธนาคารยังมุ่งขับเคลื่อนเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายในการสร้างรายได้สุทธิจากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนให้เป็น 10% รวมถึงการขยายฐานลูกค้าให้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าในอาเซียนราว 500,000 ราย
สำหรับความแตกต่างเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ กรุงศรีฯ มองว่า ธนาคารฯ มีการออกไปทำธุรกิจจริง (Real Business) นอกเหนือจากตั้งสาขา รวมถึงมีธนาคารพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีฯ ยังสนุบสนุนให้ลูกค้าในประเทศออกไปทำธุรกิจในภูมิภาค โดยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจต่างๆ และให้คำแนะนำสำหรับลูกค้าธุรกิจ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ลูกค้าอยากจะใช้บริการ
[ ลงทุนหมื่นล้านในเทคโนโลยีดิจิทัล ]
สำหรับแผนธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ในปีนี้ ธนาคารฯ ตั้งงบลงทุนด้านดังกล่าวไว้ประมาณ 10,000-11,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 7,400 ล้านบาท หลักๆ เพื่ออัปเกรดระบบของธนาคาร (Core Banking) และศูนย์ข้อมูล (Data Center)
นอกจากนี้ ธนาคารยังเพิ่มการสนับสนุนความเชื่อมโยงของภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง ผ่านการส่งเสริมการชำระและการโอนเงินข้ามประเทศ
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ในประเทศไทยได้มีการเปิดโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาลกลาง (CBDC) ภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่จะเปลี่ยนอนาคตของการชำระเงินดิจิทัล
ด้วยความเชี่ยวชาญและความพร้อม ทำให้กรุงศรีฯ เป็นหนึ่งในสองธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ได้รับเลือกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในการเข้าร่วมโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัลภาคประชาชนที่ออกโดยรัฐบาลกลาง
นอกเหนือจากการสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาคแล้ว ประสบการณ์ของลูกค้ายังถือเป็นสิ่งสำคัญสุดสำหรับการพัฒนานวัตกรรม ซุึ่งกรุงศรีฯ มีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงแอปบนมือถือที่มีไม่ว่าจะเป็น KMA-Krungsri Mobile App, UCHOOSE และ GO เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีชีวิตที่ง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถ (Talent) ใหม่ๆ และขับเคลื่อนการพัฒนาภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทยที่สอดรับกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
กรุงศรีฯ ได้ลงทุนสร้างออฟฟิศที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เพื่อดึงดูดทีมงานที่มีศักยภาพสูงด้านไอที อีกทั้งการขยายธุรกิจในอาเซียนยังเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารได้เข้าถึงบุคลากรมากความสามารถ
โดยกรุงศรีฯ ได้เปิด Innovation Hub ศูนย์กลางนวัตกรรมสร้างสรรค์ชุมชนสายเทคนำร่องในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มบุคลากรมากความสามารถในสายเทคและสร้างพื้นที่เปิดให้คนได้มาแบ่งปันไอเดียและได้รับโอกาสทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรีฯ
[ ความสำเร็จในปี 2564-2565 ]
ซีอีโอของกรุงศรีฯ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก กรุงศรีฯ ยังคงยึดมั่นให้การดูแลช่วยเหลือในเชิงรุกแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ
ปัจจุบันยังคงมีลูกค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือต่างๆ คิดเป็นเงินให้สินเชื่อคงเหลือกว่า 150,000 ล้านบาท และอีกกว่า 16,000 ล้านบาทในรูปของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ
นอกจากนี้ กรุงศรีฯ ยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดสินเชื่อรวมเติบโตเพิ่มขึ้น 3.1% และความสามารถในการทำกำไรที่ 3.45%
ในช่วงสองปีแรกของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน กรุงศรีฯ ได้ยกระดับโครงข่ายอาเซียนอย่างแข็งแกร่งด้วยการขยายกิจการในต่างประเทศทั้งในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย
ขณะที่ธุรกิจในประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว ก็ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดี ส่งผลให้กรุงศรีฯ สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ราย ผ่านการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และการร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership)
นอกจากนี้ กรุงศรีฯ ยังได้ขยายกิจการไปทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือทางธุรกิจกับ SB Finance ประเทศฟิลิปปินส์ และ SHB Finance ในประเทศเวียดนาม
ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง สถานะของ Hattha Bank ในประเทศกัมพูชาเองก็มีการยกระดับขึ้นสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์
ในด้านภาพรวมผลประกอบการ กรุงศรีฯ มีรายได้สุทธิจากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2563 เป็น 6% ในปี 2565
ในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อความยั่งยืน กรุงศรีฯ เดินหน้าต่อยอดเพื่อบรรลุพันธกิจด้าน ESG พร้อมวิสัยทัศน์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยโครงการต่างๆ ที่กรุงศรีฯ ริเริ่มและประสบความสำเร็จระหว่างปี
ประกอบไปด้วย โครงการ Krungsri x SET ‘Care the Whale’ โครงการ Zero Food Waste และเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ RE100 Thailand Club หรือสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย
[ มุมมองเศรษฐกิจของกรุงศรีในปี 2566 ]
เมื่อถามถึงเศรษฐกิจปี 2566 ซีอีโอของกรุงศรีฯ มองว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลจากการเปิดประเทศของจีนที่ยังคงไม่ชัดเจนนัก
แต่อุปสงค์ในภาคบริการน่าจะเติบโตเร็วขึ้นกว่าอุปสงค์ต่อสินค้า การเติบโตของเศรษฐกิจในอาเซียนชะลอตัวลงอยู่ที่ 4.9% ในปี 2566 จาก 5.3% ในปี 2565 แต่ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด
นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีการเติบโตที่ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศ
รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีที่รวมถึง RCEP และเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้ามา
‘ด้วยกลยุทธ์ของกรุงศรีฯ เราหวังที่จะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้ และจะอาศัยข้อได้เปรียบจากโอกาสต่างๆ ที่มีในอาเซียนโดยการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และเสนอโซลูชันที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยทั่วภูมิภาค’










