‘ทนายษิทรา’ ให้ปากคำคดี ‘แตงโม’ ในฐานะพยาน ยืนยัน เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้

วันที่ 4 มี.ค. 2565 ที่สภ.เมืองนนทบุรี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ เลขาธิการมูลนิธิทีมทนายประชาชน เข้าพบพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานคดีการเสียชีวิตของ ‘แตงโม’ นิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงผู้เสียชีวิต
โดยจะให้ปากคำ 2 เรื่อง คือ วันที่พบนายปอ กับนายเบิร์ต และเมื่อวาน (3 มี.ค. 2565) ตนมีการแจ้งเบาะแสสำคัญ จึงต้องการให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเพิ่ม ขอย้ำว่าต้องการให้ตำรวจทดลองเกี่ยวกับใบพัด และฟินเรือหรือหางสือในน้ำเพื่อดูลอยตัด เช่นใช้เนื้อหมู หรือซิลิโคนทดสอบ เพราะคดีอาชญากรรมหลายคดีมีการทดลองเช่นนี้หมด และคาดว่า จะเป็นจุดสำคัญที่ตำรวจควรให้ความสำคัญ
นายษิทรา บอกด้วยว่า เป็นเรื่องดีที่ตำรวจย้ายเรือไปเก็บรักษาไว้ป้องกันการยุ่งเกี่ยวพยานหลักฐาน เพราะเรือเป็นหลักฐานสำคัญในคดี แต่ยืนยันว่าเมื่อวานได้แค่ดูเรือ และรู้ว่าคือวัตถุพยาน ไม่มีการจับสัมผัส และไม่ได้ขึ้นเรือ
ส่วนประเด็นที่พบนายปอ และนายเบิร์ตนั้น มีเพื่อนที่รู้จัก 2 คนนี้ติดต่อมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2565 มีเวลาคุยกันไม่เกิน 15 นาที ส่วนใหญ่เล่าเหตุการณ์และปรึกษาเพื่อเตรียมตัวเท่านั้น เนื่องจากทั้งคู่มองว่าตนเป็นทนายที่มีความสามารถทางคดีเท่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักทั้งคู่มาก่อน
โดยการสนทนาจะเป็นการบอกเล่านั้น ช่วงเกิดเหตุเหมือนที่สื่อทราบ แต่ไม่ขอลงรายละเอียด นอกจากนี้ทุกคนต้องการรู้ว่าใครโดนดำเนินคดีบ้าง จึงแนะว่าถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นว่าคนขับเรือ เป็นเจ้าของ และอีกคนเป็นคนขับเรือด้วย ทั้งคู่ก็ถูกดำเนินคดี ระหว่างคุยทั้งคู่มีสีหน้ากังวลกันมาก เพราะรู้ว่าต้องถูกดำเนินคดี และไม่มีการพูดว่า จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ร่วมถึงไม่มีการปรึกษาแนวทางหลุดพ้นคดี
โดยทั้งคู่บอกว่าได้พยายามหาน้องแล้ว และกังวลว่าน้องจะเสียชีวิต มีการตั้งความหวังว่าจะมีใครช่วยไว้ได้ไหม
ช่วงที่ได้คุยแค่ 2 คนหลักๆ และได้เจอกระติกกับโบ ที่ลานจอดรถเพียง 30 วินาที โดยกระติกเดินเข้ามาทักและถามแค่ว่าหนูต้องทำยังไง ก็แนะให้ไปโรงพักเท่านั้นก็แยกย้ายกัน มาทราบภายว่า มีจ็อบรออยู่ที่รถอีกคน ยืนยันตั้งแต่ตนพูดคุยไม่มีการขอให้เป็นทนายความ ส่วนประเด็นที่สังคมสงสัยว่า เบิร์ตมี 2 คน ยืนยันเบิร์ตที่ตนเห็นเป็นคนเดียวกันกับที่ออกสื่อ ใส่เสื้อยืด ร่างท้วม แต่ผมไม่ได้ใส่แว็ก และจำไม่ได้ว่าหน้าผากเถิกหรือไม่
ส่วนกรณี โบ TK เข้าให้การตำรวจเมื่อวานนั้น ซึ่งเป็นให้การไม่เหมือนที่กระติกเล่าให้ฟัง แม้ไม่ใช่ ประจักษ์พยานโดยตรง แต่โบเป็นพยานแวดล้อม ก็น่าเชื่อถือ และข้อมูลที่โบเล่าเป็นความจริง ทั้งการให้สัมภาษณ์ ดังนั้นหากพิสูจน์ว่าพยานทั้ง 5 คน ให้การไม่เป็นความจริง อาจโดนข้อหาให้การการเท็จ แต่ต้องดูวาระสำคัญก่อนด้วย เพราะพยานกับผู้ต้องหาต่างกัน เช่น ผู้ต้องหาจะให้การยังไงก็ได้ แต่พยานหากให้การเกินข้อเท็จจริงก็โดนข้อหาได้
นายษิทรา กล่าวถึง ประเด็นคุณแม่ของแตงโม ออกรายการโหนกระแสยอมรับว่าค่อนข้างตกใจ เพราะตนก็มีลูก ยืนยันถ้าเป็นลูกตนคงประเมินค่าไม่ได้ “ขอให้แม่น้อง เฮง ๆ ปัง ๆ”
ซึ่งแม่ประเมินค่าน้องแตงโมเป็นเงิน 30 ล้านบาท นั้น ขึ้นอยู่กับฝ่ายผู้ต้องหาว่าจะจ่ายไหม ถ้าตกลงกันได้ก็จบแต่หากผู้ต้องหามองว่ามองว่าแม่พึ่งมาดูแลแตงโม ได้ไม่นานจำนวนเงินอาจจะไม่ถึง หากได้เงินสินไหมจำนวนนี้ ยอมรับว่าเป็นบรรเทาโทษได้ แต่อย่าว่าคดีนี้มีผู้เสียหาย 2 คน คือแม่กับพี่ชาย หากพี่ชายไม่ยอม คัดค้านก็ต้องต่อสู้กัน แต่คดีก็ยังเบา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ผู้ต้องหาจ่ายเงิน รับสารภาพแล้ว น้ำหนักโทษจะเบาลง เช่นรอลงอาญา
นายษิทรา ยืนยันว่าคดีนี้ไม่สามารถ ยอมความได้แน่นอน เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ส่วนตัวมีความรู้เหมือนทุกคน และอธิบายไม่ถูกและอย่าไปเห็นแกใครให้เห็นแกแตงโม ว่าจะต้องได้รับความยุติธรรมความความจริงต้องปรากฎ ให้ช่วยแตงโม และตนก็เชื่อว่าหากความจริงปรากฎน้องคงสบายใจหมดห่วง และยังคงไม่ขอเป็นทนายความให้กับคุณแม่
“ดังนั้นอยู่ที่ทางตำรวจว่าคิดทำยังไง และจะสนใจในประเด็นที่ตนบอกไหม หรือหากไม่สนใจ สรุปตามนวนในตอนนี้ ก็ได้ เพราะมีคนสารภาพแล้ว แต่ถ้าสื่อตามข่าว สังคมตาม เชื่อจะเป็นแรงกดดัน ให้ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา นายษิทรา กล่าว”
ส่วนเงินประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ที่แตงโมได้มอบประโยชน์ให้ลูกสาวกระติก เป็นความประสงค์ของคุณแตงโมยืนยันว่าแม่ไม่สิทธ์ เนื่องจากการเอาเงินผู้เยาว์ต้องขอคำสั่งศาล แม้แม่จะร้องขอ ศาลก็ไม่ให้แน่นอน เพราะไม่ใช่ประโยชน์ของผู้เยาว์ แต่ทุกอย่างสามารถเจรจากันได้แต่หากจะเปลี่ยนแปลงต้องเป็นคุณแตงโมเท่านั้น
นอกจากนี้ ทนายษิทรายังฝากถึงบุคคลสำคัญในคดีเป็นคุณแซนมากกว่า ที่ต้องพูดความจริง ยืนยันมาในฐานะพยาน ไม่มีทางเป็นทนายให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง วันนี้ทำเพื่อน้องแตงโมเท่านั้น ซึ่งตนจะจะชวนกลุ่มทนายความไปร่วมงานน้องแตงโมเพื่อส่งสู่สวรรค์










