รักษาการเจ้าอาวาส วัดกุศลสมาคร พร้อมทนาย แจ้ง 4 ข้อหา เอาผิดพระภิกษุ-สามเณร ฆารวาส และครู จำนวน 44 คน หลังถูกกล่าวหาว่า “บูลลี่พระภิกษุ-สามเณรเป็นขยะสังคม”
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และ รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดกุศลสมาคร เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ ให้ดำเนินคดีกับพระภิกษุ จำนวน 4 รูป สามเณร จำนวน 32 รูป ฆารวาส 2 คน และครู 5 คน รวมทั้งหมด 44 คน ในข้อหา ร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน, หมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83 ,136 ,137 และมาตรา326
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจาก รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดกุศลสมาคร ว่าเมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2565 ถูกกลุ่มบุคคลทั้ง 44 คน ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังคณะสงฆ์อนัมนิกาย โดยกล่าวหาว่า รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร “เป็นผู้ลุแก่อำนาจ เผด็จการ ใช้วาจากล่าวดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่น ดูแคลน ทำร้ายจิตใจพระภิกษุ-สามเณร โดยมักกล่าวว่า พระภิกษุ-สามเณรภายในวัดเป็นขยะของสังคม โรงเรียนผลิตพระภิกษุ-สามเณรออกมาเป็นขยะสังคม ใช้อำนาจสั่งการทุบ และทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ ภายในวัด และโรงเรียน ทั้งที่ศพอดีตเจ้าอาวาส ยังตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ จนสร้างความเดือดร้อนแก่พระภิกษุ-สามเณร
“ยังบอกอีกว่า เป็นพระที่ไม่มีสัจจะ ไม่เคารพมติที่ประชุม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคณะสงฆ์ วัดกุศลสมาคร และเกิดความเสียหายต่อโรงเรียนกุศลสมาครวิทยาลัย สร้างความเสียหาย ความเดือดร้อน โดยเฉพาะโบราณวัตถุภายในอุโบสถ และอัฐิของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น” นายอนันต์ชัย กล่าว
ขณะที่รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดกุศลสมาคร กล่าวว่า อาตมาเป็นรองเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร และทางคณะสงฆ์อนัมนิกาย ได้มีมติมอบหมายให้อาตมาเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากที่พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (ถนอม เถี่ยนถึก) อดีตเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย อดีตเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร ได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 จากนั้นมีพระบางกลุ่มทั้งใน และนอกวัด รวมถึงฆารวาส และครูในโรงเรียนกุศลสมาครวิทยาลัย ไม่ต้องการให้อาตมาเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร และไม่ต้องการให้อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร จึงร่วมกันร้องเรียนใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
ขณะที่ นายสามารถ สุธรรมพิทักษ์ ซึ่งเป็นผู้ถวายที่ดิน และขออนุญาตจัดสร้างวัดธรรมปัญญารามบางม่วง พร้อมด้วยกลุ่มพุทธศาสนิกชนชาวบ้านบางม่วงจำนวนหนึ่งได้มายื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบ เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามบางม่วง กรณี สร้างกุฏิรุกล้ำ ลำคลองสาธารณะ, สร้างโรงครัวไม่ได้ขออณุญาต, ไม่ดำเนินการจัดตั้งคณะอนุรักษ์โรงเจตามมติที่ประชุม และที่สำคัญ นำเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อเป็นของเจ้าอาวาส และนำไปขายต่อให้บุคคลที่ 3 โดยนาย สามารถ ฯ และคณะ เคยได้ยื่นหนังสือไปยัง ป.ป.ช. แต่ไม่มีความคืบหน้า
กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในประเทศไทยระหว่างพระและฆารวาส ซึ่งมักจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผลประโยชน์จึงกลายเป็นคำถามคาใจคนในสังคมว่า การทำนุบำรุงศาสนาจะอยู่ให้ประชาชนเคารพบูชาหรือทำลาย ซึ่งในมุมหนึ่งยังเป็นที่พึ่งพิงจิตใจให้ผู้คนได้จำนวนไม่น้อย










