กอนช. เผยระดับน้ำเขื่อนป่าสักฯ – แม่น้ำน่านยังเพิ่ม ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
วันที่ 29 ก.ย. 2564 ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงประเด็นสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำท่วมว่า จากติดตามสถานการณ์น้ำเร่งด่วนแบบรายชั่วโมง ที่มีผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโกนเซิน และอิทธิพลของพายุเตี้ยนหมู่ ทำให้เมื่อช่วง 16 – 18 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนักบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง
โดยจากการติดตามสถานการณ์น้ำเร่งด่วนแบบรายชั่วโมงของปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา พบว่า
-เขื่อนภูมิพล ยังมีปริมาณน้ำไม่มากนัก คือ 47% ของความจุรวม
-เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 43% ของความจุ
-เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำ 85% ของความจุ
-ขณะที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 83% ของความจุ
อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำในเขื่อนป่าสักฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะที่สถานการณ์แม่น้ำปิง สถานี P.16 อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร และสถานี P.17 อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ส่งสัญญาณที่ดีในการลดระดับลงของปริมาณน้ำในแม่น้ำปิง ส่งผลให้น้ำที่ไหลเข้าสู่ จ.นครสวรรค์ เริ่มมีปริมาณลดลง
ขณะที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำน่าน สถานี N.67 อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำยังไม่สูงมากนัก ปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่1,245 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะใช้เวลา 1 วัน ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ จุดหลักที่เป็นปัญหาคือบริเวณแม่น้ำน่าน เนื่องจากพื้นที่ของ อ.ชุมแสง มีปริมาณฝนตกมาก
สำหรับสถานการณ์น้ำบริเวณ สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดรวมของแม่น้ำ 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,683 ลบ.ม./วิ โดยจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในอีก 1 – 2 วันข้างหน้า อย่างไรก็ตามจะไม่เกิน 2,820 ลบ.ม./วิ ซึ่งจะไม่ล้นตลิ่ง เนื่องจากปริมาณสูงสุดอยู่ที่ 3,500 ลบ.ม./วิ แต่อาจจะมีบางพื้นที่ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีระดับตลิ่งต่ำ ซึ่งจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยจากแนวโน้มของเขื่อนเจ้าพระยา พบว่า ปริมาณน้ำจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในอีก 2 – 3 วัน โดยจะมีการเร่งระบายน้ำออกทั้งทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก
พร้อมกันนี้ ทีม กอนช. ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจทุ่งรับน้ำต่างๆ ในขณะนี้ด้วย ขณะนี้ได้มีการปรับลดการระบายน้ำเข้าสู่คลองชัยนาท-ป่าสัก ทางฝั่งตะวันออกลงแล้ว เนื่องจากตอนท้ายน้ำมีปริมาณน้ำมากและไม่สามารถระบายน้ำได้ แต่ต้องประสบปัญหาเนื่องจากมีน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ที่ระบายลงมาเพิ่ม ดังนั้น กอนช. จึงได้มอบหมายให้กรมชลประทานพิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ลง โดยจะมีการบริหารจัดการเขื่อนป่าสักฯ ในการช่วยกักน้ำไว้ พร้อมกันนี้ กรมชลประทานจะต้องตัดยอดน้ำก่อนไหลเข้าสู่ จ.ลพบุรี ให้เข้าไปยังคลองระพีพัฒน์ เพื่อช่วยดึงน้ำระบายออกไปด้วย










