‘น้ำลด’ แต่อารมณ์คนไม่ลด นักจิตวิทยาชวนทำความเข้าใจ ภาพหลังวิกฤต ในวันที่สังคมยังเปราะบาง

‘น้ำลด’ แต่อารมณ์คนไม่ลด นักจิตวิทยาชวนทำความเข้าใจ ภาพหลังวิกฤต ในวันที่สังคมยังเปราะบาง

“เข้าใจกันและกัน ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” นักจิตวิทยาชวนถอยหนึ่งก้าว  มองความรู้สึกผู้คน ในวันที่ทั้งประเทศยังสั่นไหว

น้ำเริ่มลดลงในหลายพื้นที่ของภาคใต้ แต่บรรยากาศในสังคมกลับ ‘ตึงขึ้น’ อย่างเห็นได้ชัด ยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ข่าวการสูญเสียที่ทยอยถูกพบ คลิปจากพื้นที่จริงที่ทำให้ทั้งประเทศสะเทือนใจ เสียงตั้งคำถามต่อระบบที่ดังขึ้นเรื่อยๆ กระแสความไม่ไว้วางใจ แรงขึ้นกว่าเดิม

แม้ระดับน้ำจะลดลง แต่ระดับอารมณ์ของผู้คนกลับพุ่งขึ้นแทนที่ ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ทั้งไม่เชื่อ ทั้งสับสน เหมือนทั้งประเทศกำลังพูดพร้อมกันว่า “มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้”

นี่คือสัญญาณสำคัญ ที่สะท้อนว่าอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนถนนหรือในบ้านเรือน แต่อยู่ในใจของทุกคนที่รับรู้เหตุการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือคนนอกพื้นที่ และจุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ทำไมสถานการณ์ในพื้นที่ดูดีขึ้นทีละนิด แต่ความรู้สึกของผู้คนกลับหนักขึ้นกว่าเดิม?

TODAY พูดคุยกับ ‘นรพันธ์ ทองเชื่อม’ หรือ อ.ต้น นักจิตวิทยา ผู้ทำงานกับเหตุการณ์วิกฤตหลายครั้ง เพื่อขยายภาพให้ชัดขึ้น  ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ในสภาวะภัยพิบัติใหญ่ และทำไมช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงที่สังคม ‘เปราะบางที่สุด’

 

‘บาดแผล’ ที่ไม่ได้อยู่ในภาพข่าว

เพื่อจะเข้าใจอารมณ์สังคมในวันนี้ เราต้องย้อนกลับมองช่วงเวลาที่น้ำยังสูงระดับอก วันที่ทั้งเมืองหาดใหญ่แทบถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ในชั่วโมงที่ฝนยังเทลงมาไม่หยุด บางชุมชนมืดสนิทเพราะไฟดับ สัญญาณโทรศัพท์หายจนไม่สามารถติดต่อใครได้ บ้านบางหลังถูกน้ำทะลักเข้ามาเร็วกว่าที่คนจะเก็บของทัน หลายครอบครัวต้องปีนขึ้นที่สูงอย่างฉับพลัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่ใครจะรู้ทันว่า ‘นี่ไม่ใช่น้ำท่วมแบบที่เมืองเคยรู้จัก’

ท่ามกลางสภาวะนั้น ผู้คนเริ่มสัมผัสความจริงที่หนักกว่าระดับน้ำ คือความไม่รู้สึกปลอดภัยในทุกความหมาย

เราไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่

เราไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงเมื่อไร

เราไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีมวลน้ำลูกใหม่หรือไม่

หรือบางครั้ง แค่เสียงจากบ้านข้างๆ เงียบลงไปชั่วคราว ก็เพียงพอจะทำให้ความกลัวและความวิตกพุ่งขึ้นทันที เพราะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในความมืดนั้น

ความไม่รู้เหล่านี้กดทับผู้คนตลอดหลายชั่วโมง บางพื้นที่เป็นวัน บางครอบครัวต้องอยู่กับสภาวะนี้ต่อเนื่องถึงหลายวัน ความเครียดระดับนี้เอง คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ‘acute stress response’ มันไม่ใช่อารมณ์เสียใจ หรือกลัวธรรมดา แต่คือ กลไกเอาตัวรอดที่สมองสั่งให้ทำงานแบบอัตโนมัติ

นี่คือจุดเริ่มต้นของบาดแผลทางใจที่ไม่เคยถูกบันทึกลงในภาพข่าว แต่กลายเป็นรากของอารมณ์ที่ทั้งประเทศกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

 

เมื่อเหตุผลเงียบลง และสัญชาตญาณดังขึ้นแทน

หลังผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความกลัว และความโดดเดี่ยว สมองของมนุษย์จะไม่กลับไปสู่สภาพปกติในทันที 

อ.ต้นอธิบายว่า ความเครียดระดับรุนแรงทำให้สมองส่วนเหตุผล ‘ถูกพักไว้ชั่วคราว’ และเปิดทางให้สมองส่วนอะมิกดะลา (Amygdala) ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลภัยคุกคามและตอบสนองต่ออันตราย เข้ามาควบคุมการทำงานของร่างกายแทน

ผลลัพธ์คือ มนุษย์จะตอบสนองต่อทุกสิ่งด้วยคำถามเดียวว่า “สิ่งนี้ปลอดภัยกับฉันไหม?” และถ้าคำตอบในหัวคือ “ไม่แน่ใจ” หรือ “ยังไม่มีข้อมูล” ร่างกายจะสั่งตัวเองให้เข้าสู่ 3 โหมดพื้นฐานทันที คือ สู้ หนี หรือแข็งทื่อ 

นี่คือกลไกปกป้องชีวิต ไม่ใช่ความดุร้าย และไม่ใช่การ ‘ตั้งใจจะทำร้ายใคร’ ด้วยเหตุนี้ หลายเหตุการณ์ที่กำลังถูกตั้งคำถาม  รวมถึงกรณีที่เกิดขึ้นใน ‘เขต 8’ ที่โลกออนไลน์พูดถึงทั้งเรื่องพื้นที่อิทธิพล เขตที่เข้าถึงยาก และข้อสงสัยอีกหลายชั้น จึงไม่อาจตัดสินได้จากคลิปไม่กี่วินาที หรือภาพเพียงหนึ่งมุม

ในมุมของนักจิตวิทยาอย่าง อ.ต้น เขาสะท้อนว่า อีกด้านหนึ่งที่สังคมไม่ควรมองข้ามคือ “ต่อให้ไม่มีเรื่องอิทธิพลใดๆ เลย พฤติกรรมตอบโต้แบบรุนแรงก็สามารถเกิดขึ้นได้ทันที ถ้าใครก็ตามอยู่ในภาวะเครียดล้น และรู้สึกว่าความปลอดภัยของตัวเองหรือครอบครัวกำลังถูกคุกคาม”

อ.ต้นย้ำว่า “อย่าเพิ่งตัดสินจากพฤติกรรมเฉพาะหน้า เพราะเราไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น เขาเพิ่งผ่านอะไรมา” แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ควรปิดกั้นกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะความจริงมีความสำคัญต่อทั้งความยุติธรรม การเยียวยา และการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย

ดังนั้น สิ่งที่สังคมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ คือการยืนอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘ความเข้าใจมนุษย์ในวิกฤต’ และ ‘การเปิดทางให้ความจริงปรากฏอย่างครบถ้วน’

นี่คือเหตุผลที่อารมณ์ในสังคมตอนนี้ ‘พุ่งแรง’ กว่าระดับน้ำลดลงไปมากแล้ว เพราะความกลัว ความค้างคา และความรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งให้เผชิญเหตุลำพัง ถูกสะสมตั้งแต่คืนแรก ก่อนจะระเบิดออกมาเมื่อผู้คนกลับมายืนบนพื้นที่แห้งอีกครั้ง

 

‘คนข้างนอก’ อย่างเราทำอะไรได้บ้าง ในวันที่ทั้งสังคมสั่นไหว

เมื่อเข้าใจแล้วว่าอารมณ์ของผู้ประสบภัยไม่ได้จบลงพร้อมระดับน้ำ คำถามถัดมาคือ

คนที่อยู่นอกพื้นที่อย่างเรา ควรวางตัวอย่างไรในช่วงเวลานี้?

อ.ต้นย้ำว่า สิ่งที่ผู้ประสบภัยต้องการที่สุดไม่ใช่คำปลอบใจฟุ่มเฟือย แต่คือความรู้สึกว่า ‘เขาไม่ได้ถูกทิ้งไว้ลำพัง’  ในวันที่ร่างกายและหัวใจแทบจะไม่เหลือพลังอีกแล้ว

สิ่งที่คนภายนอกทำได้จึงไม่ใช่การตัดสินว่า ‘วินาทีนั้นใครควรทำอะไร’ แต่คือการ ช่วยให้ “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” กลับคืนมาเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เพราะทันทีที่ความปลอดภัยกลับมา สมองส่วนเหตุผลจะค่อยๆ กลับมาเช่นกัน  และเมื่อเหตุผลกลับมา การปะทะ การตีความผิด หรืออารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ก็จะค่อยๆ ลดความรุนแรงลงตามกลไกของมนุษย์

นั่นทำให้คำว่า ‘ช่วยเหลือ’ ในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่เงิน เสื้อผ้า หรืออาหารอีกต่อไป แต่รวมถึงการช่วยกัน ลดความตึงเครียดทางสังคม โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่อารมณ์แพร่ได้เร็วกว่าข้อเท็จจริงเสมอ

อ.ต้นเสนอว่า ถ้าคนภายนอกอยากช่วยผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง ควรเริ่มจาก 3 เรื่องที่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญมากต่อสภาพจิตใจของคนในพื้นที่ นั่นคือ

หนึ่ง – หยุดตัดสินก่อนเห็นข้อมูลครบเพราะทุกประโยคที่ด่วนสรุป อาจไปตอกย้ำความรู้สึกผิดหรือความเจ็บปวดของคนที่พยายามเพียง ‘เอาชีวิตรอดให้ได้แค่อีกหนึ่งวัน’

สอง – ช่วยกันยืนยันว่า ‘คุณไม่ได้อยู่ลำพัง’ เพราะข้อความมอบกำลังใจที่ไม่ได้สั่งให้ ‘เข้มแข็งนะ’ แต่บอกว่า ‘เราพร้อมช่วยเหลือเมื่อคุณพร้อม’ ส่งผลทางจิตใจต่างกันมาก

สาม – ให้พื้นที่กับความเจ็บปวด โดยไม่เร่งให้ลืมเร็วๆ เพราะอารมณ์ไม่ใช่สวิตช์ปิด–เปิด  หลังภัยพิบัติใหญ่ ความกลัวและความโกรธอาจอยู่ได้เป็นเดือน การเคารพเวลาการฟื้นตัวของผู้อื่น คืออีกหนึ่งรูปแบบของการเยียวยาที่สำคัญมาก

ความเข้าใจเหล่านี้ คือสิ่งที่จะช่วยประคองสังคมไม่ให้แตกหัก ในวันที่ความไม่แน่นอนยังรายล้อมอยู่ทุกด้าน และที่สำคัญที่สุด ‘ความช่วยเหลือของทุกคนยังมีความหมาย’ แม้เราไม่สามารถลบความสูญเสียได้ แต่อย่างน้อย เราก็สามารถทำให้ผู้ประสบภัยรู้ว่า ยังมีผู้คนยืนอยู่ข้างเขาจริงๆ

 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหาดใหญ่ แต่เป็นเรื่องของ ‘สังคมทั้งหมด’

อุทกภัยครั้งนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า ความเสียหายทางกายภาพอาจซ่อมได้ในเวลาไม่กี่เดือน แต่ความเสียหายทางใจของผู้คน อยู่ยาวนานกว่านั้นมาก

และในวันที่ข้อมูลยังสับสน มีทั้งเสียงโกรธ เสียงตำหนิ ข้อสงสัยที่ผุดขึ้นไม่หยุด เรามักลืมไปว่า ทุกคนบนแผ่นดินนี้กำลังเผชิญ ‘วิกฤตเดียวกัน’ แม้จะอยู่กันคนละตำแหน่ง คนละบทบาท แต่แรงสั่นไหวในใจ ไม่มีใครหลีกพ้น

บทสนทนากับ อ.ต้น ทำให้เราเห็นความจริงสำคัญว่า ในวันที่ทุกอย่างวุ่นวายที่สุด สิ่งที่เราต้องระวังไม่ใช่แค่น้ำที่ท่วม แต่คือน้ำใจที่อาจไหลออกจากกันโดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่ออารมณ์นำ ความเข้าใจจะค่อยๆ หายไป และเมื่อความเข้าใจหายไป สังคมก็เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งที่ในความเป็นจริง เราทุกคนกำลังพยายามเอาตัวรอดจากวิกฤตเดียวกัน

บางทีในเวลานี้ สังคมไทยอาจต้องลอง ‘ถอยออกมาหนึ่งก้าว’  ไม่ใช่เพื่อมองข้ามปัญหา แต่เพื่อมองเห็นกันชัดขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังเจ็บที่สุด

 ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินกัน  ไม่จำเป็นต้องรีบหาว่าใครผิดก่อน แต่ลองช่วยกันถามว่า “วันนี้ เราทำอะไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้ใครรู้สึกว่าถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?” เพราะหลายครั้ง ความช่วยเหลือที่ทรงพลังที่สุด ไม่ใช่การลงไปถึงพื้นที่ แต่คือการช่วยกันประคองสังคมไม่ให้แตกหัก

ในวันที่ทุกคนอ่อนล้า และอยากรู้เพียงอย่างเดียวว่า “พรุ่งนี้ เราจะไหวไหม?” คำตอบที่ดีที่สุดอาจเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ว่า “เราจะไหว ถ้าเราไม่ปล่อยให้ใครต้องผ่านมันลำพัง”

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
‘น้ำลด’ แต่อารมณ์คนไม่ลด นักจิตวิทยาชวนทำความเข้าใจ ภาพหลังวิกฤต ในวันที่สังคมยังเปราะบาง