‘เพื่อไทย’ ยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญ 60 เสนอเปิดช่องส่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด ทำประชามติได้กี่ครั้ง-จ่อเสนอแก้ในรายละเอียด อีก 3 ประเด็น

นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นำ สส. ของพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่ง เปิดแถลงข่าวในวันนี้ (22 ม.ค. 67) ถึงการเข้าชื่อเพื่อยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 256 ว่าด้วยเงื่อนไขของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเพิ่มหมวดใหม่ ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแต่ละจังหวัด ซึ่งการยื่นร่างฯ แก้ไขดังกล่าว ได้ยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะเป็นการเปิดช่องให้นำไปสู่การหาข้อยุติอย่างชัดเจนว่า ควรทำประชามติกี่ครั้ง เนื่องจากมีประเด็นความเห็นที่ขัดแข้งระหว่างการทำหน้าที่ในรัฐสภา ว่าสามารถพิจารณาเนื้อหาได้ก่อนการนำไปออกเสียงประชามติ หรือต้องทำประชามติก่อนรัฐสภาแก้ไขเนื้อหา ซึ่งเป็นประเด็นที่สามารถนำเรื่องส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
เพราะคณะทำงานของพรรคเพื่อไทย มองว่า ควรทำประชามติ เพียง 2 ครั้ง เพื่อประหยัดงบประมาณและไม่สิ้นเปลืองเวลา ส่วนกรณีที่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ของรัฐบาล ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธานนั้น อยู่ระหว่างการทำรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เบื้องต้นพบข้อเสนอเกี่ยวกับจำนวนครั้งในการทำประชามติ คือ 3 ครั้งด้วย
“ประเด็นที่พรรคเพื่อไทยเสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีเจตนาอื่น นอกจาการหาช่องเพื่อส่งเรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งวิธีการดังกล่าว คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยคิดว่า แบบนี้ถือเป็นช่องทางที่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกัน ไม่ใช่ประเด็นที่จะขัดกับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ” นายชูศักดิ์ กล่าว
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า คณะทำงานของพรรคเพื่อไทย มีแนวคิดต่อการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เช่นกัน เบื้องต้นได้ยกร่างแล้วเสร็จ และเตรียมเสนอเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ สส. ของพรรรคร่วมลงชื่อก่อนส่งให้ประธานสภาฯ ต่อไป
สำหรับประเด็นที่แก้ไขนั้นมี 3 ประเด็น คือ
1. การออกเสียงประชามติให้ยึดเสียงข้างมากธรรมดา โดยมีเงื่อนไขว่าเสียงข้างมากดังกล่าวต้องไม่ต่ำกว่าเสียงที่ประสงค์ไม่ลงคะแนน
2. กำหนดให้การออกเสียงประชามติ สามารถดำเนินการไปพร้อมกับกับการเลือกตั้งทุกระดับได้ เพื่อประหยัดงบประมาณ
3. ช่องทางการออกเสียงประชามติ สามารถทำได้ด้วยกระบวนการอื่นๆ เช่น ทางไปรษณีย์ นอกเหนือจากการออกไปหย่อนบัตรเท่านั้น










