‘ไอติม’ ชี้ไทยป่วยเพราะ ‘ไวรัสประยุทธ์’ ขอรื้อรัฐธรรมนูญ 60 ฉีดวัคซีนเข็มแรก วอนอย่าอ้างเสียงประชามติ 16 ล้าน

‘ไอติม’ ชี้ไทยป่วยเพราะ ‘ไวรัสประยุทธ์’ ขอรื้อรัฐธรรมนูญ 60 ฉีดวัคซีนเข็มแรก วอนอย่าอ้างเสียงประชามติ 16 ล้าน

การเมือง

‘นายพริษฐ์ วัชรสินธุ’  หรือ ‘ไอติม’ ชี้ไทยป่วยเพราะ ‘ไวรัสประยุทธ์’ ขอรื้อรัฐธรรมนูญ 60 ฉีดวัคซีนเข็มแรก วอนอย่าอ้างเสียงประชามติ 16 ล้าน

วันที่ 16 พ.ย. 64 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ตัวแทนกลุ่มรีโซลูชั่น (Re-solution) และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 135,247 คน เป็นผู้เสนอ

นายพริษฐ์  กล่าวว่า “เหตุการณ์ในวันนี้ว่ามีผู้ป่วยคนหนึ่งชื่อประเทศไทย ผู้ป่วยคนนี้ทุกท่านรักเป็นห่วง และอยากจะรักษาให้เขาหายดี ปัจจุบันถึงแม้ผู้ป่วยคนนี้กำลังจะฟื้นฟูจากโรคโควิด แต่ก็ยังเผชิญกับอีก 3 โรคร้ายแรงและร่างกายเขาที่เขาติดมาตั้งแต่ก่อนโควิด เป็นตัวมาซ้ำเติมให้อาการของเขาทรุดหนักลง

และที่เขายังต้องเผชิญอยู่ถึงแม้โควิดจะหายไป โรคที่ 1 คือโรคเศรษฐกิจอ่อนแอที่ทำให้ประเทศเรานั้นมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าเพื่อนบ้านมาหลายปี โรคที่ 2 คือโรคของความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ทำให้โอกาสของชีวิตของแต่ละคนในประเทศนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตามากกว่าความสามารถ และโรคที่ 3 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญก็คือโรคประชาธิปไตยหลอกลวง ที่เป็นประชาธิปไตยเพียงแค่ในนามแต่ไม่ใช่ในการปฏิบัติจริง

พอประชาชนทั่วประเทศเริ่มมาสังเกตว่าอาการของผู้ป่วยคนนี้มีความทุกข์หนักมากขึ้นในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาซึ่งตรงกับระยะเวลาที่คณะรัฐประหารได้ทำการรัฐประหารในปี 2557 และยึดครองอำนาจของประเทศ

“หลายคนก็สรุปว่าไวรัสตัวนี้อาจจะมีชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา การวินิจฉัยแบบนี้นะครับทำให้หลายคนเกิดข้อสรุปว่าหากเราสามารถกำจัดไวรัสตัวนี้ได้ทำให้พลเอกประยุทธ์ลาออกหรือพ้นจากตำแหน่งผู้ป่วยของเรานั้นก็จะหายจากโรคทุกชนิด และก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

“แต่ผมและทีมคาดว่าไม่น่าจะจบง่าย แบบนั้น เพราะสิ่งที่อันตรายกว่าพลเอกประยุทธ์ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าระบอบประยุทธ์ ระบอบประยุทธ์ที่ผมพูดถึงในแง่นี้ไม่ได้หมายถึงพลเอกประยุทธ์ในแง่ของตัวบุคคลแต่หมายถึงโครงสร้างและกลไกที่พลเอกประยุทธ์และเครือข่ายได้สร้างขึ้นมาตลอด 7 ปีที่ผ่านมาและควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อรักษาผลประโยชน์และอำนาจของกันและกัน แน่นอนครับว่าเกาะกายสิทธิ์ชิ้นพิเศษที่ค้ำจุนระบอบประยุทธ์ให้ยังสามารถอยู่ในอำนาจได้ไม่ว่าเขาจะบริหารประเทศป่วยแค่ไหน ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560”

นายพริษฐ์  กล่าวต่อว่า “ที่ทางกลุ่มรีโซลูชั่นต้องการเสนอให้มีการแก้ไข ในวันนี้ หากรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญของประชาชนโดยประชาชนเพื่อประชาชนรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ซับซ้อนไปกว่ารัฐธรรมนูญของระบอบประยุทธ์ เพื่อระบอบประยุทธ์ โดยระบอบประยุทธ์”

หากเราวิเคราะห์ตั้งแต่ที่มากระบวนการและเนื้อหาเราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นั้นเขียนขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้นนั่นก็คือการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ ถ้าเรามาดูในส่วนของที่มาเราก็จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 นั้นถูกเขียนโดยคนไม่กี่คนของคสช.โดยไม่ได้เปิดรับฟังความเห็นของประชาชนในวงกว้าง

และส่วนสุดท้ายในส่วนของเนื้อหาเราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 นั้นก็ได้ขยายอำนาจในส่วนของสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ระบอบประยุทธ์สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภาศาลรัฐธรรมนูญองค์กรอิสระหรือว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

การเขียนรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการพยายามย้อนเข็มนาฬิกาของประชาธิปไตยแต่เป็นการพยายามที่จะสกัดการแข่งขันและผูกขาดอำนาจทางการเมืองไว้ที่ฝ่ายเดียวที่ทำให้ไม่ว่าเขาจะบริหารประเทศได้ดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็สามารถรักษาอำนาจไว้ได้เปรียบเสมือนกับนักมวยคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะปล่อยพลาดแค่ไหนกรรมการก็ตัดสินให้ชนะได้ในทุกยก

หากวัคซีนแก้โควิด ต้องฉีด 2 เข็ม วัคซีนแก้รัฐธรรมนูญก็จำเป็นที่จะต้องฉีด 2 เข็ม

โดยเข็มที่ 2 ที่จะนำมาสู่ภูมิคุ้มกันอย่างเต็มรูปแบบก็จำเป็นจะต้องเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนเจ้าของประเทศผ่านสสร.ที่มาจากการเลือกตั้งและมีอำนาจพิจารณาแก้ไขทุกหมวดทุกมาตรา

แต่กว่าวัคซีนเข็มที่ 2 จะมามันก็อาจจะต้องใช้เวลา เพราะถึงแม้เราจะไม่มีสมาชิกรัฐสภาท่านไหนมาสกัดกั้นขบวนการนั้นกระบวนการนี้ ก็ต้องอาศัยการที่ประชาชนนั้นต้องเข้าคูหาทั้งหมด 3 ครั้งหนึ่งครั้งเพื่อรับรองให้มีการแต่งตั้งสสร. อีกครั้งเพื่อไปเลือกสมาชิก ที่จะไปนั่งในสอนและอีก  ครั้งครั้งที่ 3 เพื่อไปรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูกร่างโดยสสร.ที่มาจากการเลือกตั้งอีกทีหนึ่ง

การเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของกลุ่ม  ในวันนี้จึงเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้กับประเทศไทย แน่นอนครับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะไม่สามารถแก้ทุกปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับ 60 ได้แต่เราสังเกตเห็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของรัฐธรรมนูญ 60 คือการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์

ในเมื่อปัญหาหลัก คือการสืบทอดอำนาจตรงนี้ทางเราเลยเสนอเนื้อหาที่เป็นการพยายามที่จะปลดอาวุธ 4 อย่าง ได้แก่

ข้อเสนอที่ 1 คือการยกเลิกวุฒิสภา เพื่อปรับจากระบบรัฐสภามาเป็นระบบสภาเดี่ยวที่มีแต่สภาผู้แทนราษฎรการผลักดันข้อเสนอนี้นะครับมันต้องอาศัยการที่เราเห็นตรงกันเห็นพ้องต้องกันใน 2 ประเด็นเปรียบเสมือน 2 ขั้นบันไดที่จะเชิญสมาชิกรัฐสภาทุกท่านนั้นมาร่วมพร้อมเดินไปกับผมในวันนี้ บันไดขั้นที่ 1 คือการยอมรับให้ตรงกันว่าวุฒิสภาที่เป็นกันอยู่ ในปัจจุบัน ขาดความชอบธรรม บันไดขั้นที่ 2 ซึ่งการเห็นตรงกันว่ารัฐสภาที่ดีที่สุดคือรัฐสภาที่ไม่มีวุฒิสภา

ข้อเสนอที่ 2 คือยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ การเสนอให้ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนปฏิรูปประเทศไม่ได้หมายความว่าเราไม่เห็นประโยชน์ของการดำเนินนโยบายที่มีความต่อเนื่อง หรือการบริหารประเทศอย่างมียุทธศาสตร์

“ผมขออนุญาตยืมคำพูดของนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งมา ท่านได้กล่าวไว้ว่า การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเปรียบเสมือนกับยุทธศาสตร์ที่ทำตามก็พังไม่ทำตามก็ผิด”

ในส่วนของข้อเสนอ อีก 2 ข้อไม่ว่าจะเป็นข้อ 3 ในเรื่องเรื่องศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และข้อที่ 4 เรื่องมาตรการในการป้องกันการรัฐประหาร นายพริษฐ์  ได้ส่งต่อให้นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นผู้ชี้แจง

นายพริษฐ์ กล่าวย้ำว่า 4 ข้อเสนอนี้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ 60  แต่เป็นเสมือนวัคซีนชนิดหนึ่งที่จะแก้ปัญหาได้เร่งด่วนที่สุดที่ปัจจุบันทำให้รัฐธรรมนูญ 60 นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ 

“ผมเชื่อว่า ตลอดวันนี้จะมีสมาชิกรัฐสภาบางท่านที่จะพยายามทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเรานั้นมันดูสุดโต่งมันดูน่ากลัวมันดูเป็นเหมือนการพยายามจะเอาชนะทางการเมือง แต่ผมอยากให้ทุกท่านลองสังเกตและเปิดใจดูดีๆนะครับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเรานั้นไม่ได้ต้องการโจมตีใครในฐานะตัวบุคคล เราแค่ต้องการหรือระบบที่มันไม่เป็นธรรมกับสังคมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเราไม่ได้พยายามจะทำให้ใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบแต่เพียงต้องการให้ไม่มีประชาชนคนไหนต้องเสียเปรียบเลยสักคน”

“การกระทำของรัฐบาลภายใต้ระบอบประยุทธ์ ที่ผ่านมาที่พยายามจะทำลายระบบที่เป็นกลางแบบนี้ก็ร่วมเป็นส่วนสำคัญที่เป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนและความศรัทธาต่อสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ข้อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้จึงไม่ได้เป็นการทำลายล้างสถาบันทางการเมืองใดๆ ที่ท่านหวงแหน”

“แต่จะทำให้สถาบันทางการเมือง กองทัพ นั้นได้มีโอกาสพิสูจน์กับประชาชนครับ ว่าเขานั้นมีความมืออาชีพทางการเมือง ถ้าจะพูดให้ถึงที่สุดนะครับแม้กระทั่งการหรือระบอบประยุทธ์ก็ไม่ได้ทำให้พลเอกประยุทธ์นั้นหมดอนาคตแต่จะเปิดโอกาสให้เขาสามารถกลับมาเป็นนายกได้อย่างสง่าผ่าเผยมากขึ้น ถ้าเขาสามารถเอาชนะได้ในการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมจริง ความจริงแล้ว การรักษาศรัทธา ในสถาบันทางการเมืองใด ๆ ก็ตาม มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้หรอกครับ ในการหยุดอยู่กับที่แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสถาบันนั้นก้าวเดินไปพร้อมกับเข็มนาฬิกาที่หมุนไปตามความต้องการของประชาชน”

แต่นอกจากจะคืน ศักดิ์ศรีให้กับสถาบันการเมืองแล้ว หัวใจสำคัญจริง ๆ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือการสร้างระบบการเมืองที่ไว้วางใจประชาชนระบบที่ไว้วางใจประชาชนให้เขามีสิทธิ์ได้เลือกผู้นำของตัวเองโดยไม่ต้องมี ส.ว. 250 คนเข้ามาร่วมเลือกด้วยระบบที่ไว้ใจประชาชน ให้เขาเลือกนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองนำเสนอเอง ระบบที่ไว้วางใจประชาชนให้เข้ามาแก้ทุกวิถีทางการเมืองด้วย ตัวเองด้วยการ ผ่านกลไกรัฐสภา โดยไม่ต้องให้ทหารนั้นเข้ามายึดอำนาจและอ้างว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่อที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชน

“ผมเลยอยากจะปิดท้ายครับในการเชิญชวนสมาชิกรัฐสภาทุกท่านไม่ว่าท่านจะไว้วางใจผมหรือไม่ ไม่ว่าท่านจะไว้วางใจผู้สนับสนุนท่านอื่นหรือไม่ ตรงนั้นไม่ใช่สาระสำคัญเลยครับ สิ่งที่สำคัญในวันนี้ คือการที่ท่านไว้วางใจประชาชน และโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสร้างระบบการเมืองที่ไว้วางใจประชาชน”

แม้ท่านจะยังไม่เห็นด้วยกับผมนะครับว่าระบบการเมืองที่เราพยายามจะนำเสนอนั้นอยู่บนพื้นฐานของการไว้วางใจของประชาชนผมขอเถอะครับท่านเลือกไว้วางใจประชาชนแค่ครั้งเดียวก็พอให้เขาสามารถตัดสินเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ด้วยเสียงของเขาเอง ในการจัดทำประชามติ ซึ่งทุกท่านทราบอยู่แล้วว่าจากมาตรา 256 วรรค 8 ก็กำหนดไว้อยู่แล้วว่าหากร่างนี้สามารถผ่านการพิจารณา 3 วาระของรัฐสภาได้ อย่างไรก็ต้องมีการจัดทำประชามติให้คนไทยทั่วประเทศสามารถลงคะแนนเสียงได้ว่าสนับสนุนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขนี้

“ถ้าท่านคิดว่าร่างแก้ไขนี้ มันเลวร้ายจริงมันแย่จริงผมขอเถอะครับท่านไว้วางใจประชาชนเถอะครับว่าพวกเขาถ้ามันแย่ขนาดนั้นจริงพวกเขาก็จะคว่ำร่างนี้ด้วยเสียงของเขาเอง จะเห็นนะครับว่าตลอดการอภิปรายที่ผ่านมา ผมไม่เคยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะหยิบยกตัวเลข 135,247  ที่เราได้เมื่อ 5 เดือนที่แล้วมาอ้างว่า เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ผมก็ขอเหมือนกันครับเพราะตลอดการอภิปรายในวันนี้ท่านก็ควรจะหยุดหยิบยกตัวเลข 16 ล้านเสียง จากประชามติเมื่อ 5 ปีที่แล้วมาบอกว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศในวันนี้เช่นเดียวกัน”

“หากท่านอยากจะวัดกันจริงๆว่าเสียงส่วนใหญ่ของประเทศคิดกันอย่างไรทางเดียวที่ท่านจะวัดได้ คือการรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้และไปดู การลงมติที่จะต้องเกิดขึ้น หากท่านฟังเช่นนี้แล้วท่านยังเลือกที่จะตัดหน้าประชาชนและโหวตไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แทนที่จะไปวัดกันที่ประชามติ การอธิบายของท่านในวันนี้จะถูกจดจำจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ใช่การ คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญของกลุ่มรีโซลูชั่น แต่การอธิบายของท่านในวันนี้ จะถูกบันทึกและจะถูกจดจำในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในฐานะส่วนหนึ่งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจประชาชนผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้” นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ตัวแทนกลุ่มรีโซลูชั่น (Re-solution) กล่าว

ทั้งนี้ ได้มีกำหนดกรอบเวลาการประชุม 1 วัน เวลาในการอภิปราย 18 ชั่วโมง แบ่งเป็น ฝ่ายค้าน 5 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 5 ชั่วโมง ฝ่ายวุฒิสภา 5 ชั่วโมง ผู้เสนอร่าง 3 ชั่วโมง และจะมีการลงมติในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 17 พ.ย. 64) เวลา 10.00 น.

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง