กรมควบคุมโรค เร่งค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง รายที่ 2 สอบสวนโรคเพิ่มเติม หลังมีข้อมูลเพิ่มจากผู้ป่วยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกัน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากกรณีพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายที่ 2 ใน กทม.คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้กำชับและดูแลการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคฝีดาษวานร พร้อมสั่งการให้กรมควบคุมโรค ประสานงานกับคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ในการติดตามเฝ้าระวังโรค
สำหรับกรมควบคุมโรคได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และกองระบาดวิทยา ลงพื้นที่เร่งติดตามค้นหาผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ประสานงานกับโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ที่ผู้ป่วยเข้าไปตรวจหาเชื้อและรักษาตัว และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการติดตามสอบสวนโรคเพิ่มเติม ตามแนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคฝีดาษวานร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานรและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
น.พ.โอภาส กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สอบสวนโรค สอบถามข้อมูลของผู้ป่วยเพิ่มเติมพบว่า ผู้ป่วยมีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชายต่างชาติ โดยไม่ได้ป้องกันในวันที่ 12 ก.ค. 65 และเริ่มมีอาการไข้ในวันที่ 15 ก.ค. 65 ต่อมาอีก 3 วัน เริ่มมีตุ่มหนองที่อวัยวะเพศ ไปซื้อยามาทาเอง แต่อาการไม่ดีขึ้น อวัยวะเพศบวม มีหนอง ปัสสาวะสีขุ่น และเริ่มมีผื่นขึ้นที่ใบหน้าแถวระหว่างคิ้ว แขนขา ลำตัว จากนั้นผู้ป่วยจึงไปเข้าระบบคัดกรองที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยมีอาการและมีประวัติสัมผัสเสี่ยงที่เข้าได้กับโรคฝีดาษวานร จึงได้แยกผู้ป่วยไปที่ห้องตรวจแยกโรคที่จัดไว้เป็นการเฉพาะสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ และได้ทำการเก็บสิ่งส่งตรวจจากตุ่มหนอง คอหอย และเลือด ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมกับรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่ห้องผู้ป่วยแยกโรค แรงดันลบ (AIIR) และผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง ยืนยันว่ามีการติดเชื้อฝีดาษวานร
“ขณะนี้พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย อยู่ระหว่างการตรวจหาเชื้อ และสังเกตอาการพร้อมกักตัว 21 วัน จึงขอแนะนำประชาชนว่า โรคฝีดาษวานรไม่ได้ติดต่อกันได้ง่ายๆ ซึ่งจะติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดมากๆ โดยการสัมผัสกับ ตุ่ม หนอง แผล หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย พร้อมย้ำมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 สามารถใช้ได้กับโรคฝีดาษวานร โดยหมั่นล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง กินอาหารปรุงสุก ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงกับผู้ป่วยที่มีตุ่มหนอง หรือผู้ป่วยต้องสงสัย” นพ.โอภาสกล่าว










