‘พิธา’ อภิปรายสรุป แนะ ‘เศรษฐา’ 3 ข้อ ปรับครม. เร่งทำโรดแมป และฟังเพื่อตอบสนองไม่ใช่ตอบโต้

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เสร็จสิ้นลงแล้ว
เข้าสู่วันที่ 5 เม.ย. 67 เวลา 01.19 น. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายสรุปเนื้อหาสำคัญของสมาชิกฝ่ายค้าน ที่อภิปรายรัฐบาล ตลอด 2 วันที่ผ่านมา
พิธา ได้เริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจว่า “ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ผมไม่เคยเสียใจเลยครับ ที่ผมไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ว่าผมจะชนะเลือกตั้ง สามารถที่จะรวบรวมเสียงได้ 312 เสียงก็ไม่ได้น้อยกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่ต้องมาเป็นฝ่ายค้าน เพราะผมก็เชื่อว่าการเป็นฝ่ายค้านนั้นก็มีความสำคัญต่อระบบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่ว่ารัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านนั้นแอคทีฟ (กระตือรือร้น) แค่ไหนและทำงานให้กับประชาชนได้มากน้อยเพียงไร”
“และก็ไม่เคยเสียใจด้วยครับว่า การอภิปรายครั้งนี้ อภิปราย 152 ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นความลับอะไร ทุกคนก็ทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้ก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมจะเดินจากไปอย่างผู้ชนะครับไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป ยิ่งการได้เห็นเพื่อน สส. ที่อยู่รอบล้อมผมไม่ว่าจะเป็น รุ่น 1 หรือ รุ่น 2 ในการอภิปรายใน 2-3 วันที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกเบาใจ ไม่มีอะไรที่จะต้องค้างคาอีกต่อไป และก็มั่นใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพรรคของผม ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรค ไม่ว่าจะเป็นการทำลายพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยของเรานั้นหายลงไป เผลอๆ ยิ่งยุบพรรคจะยิ่งทำให้พวกเราไปถึงเส้นชัยที่เราต้องการจะทำได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป”

“ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดายครับท่านประธาน ยิ่งได้ฟังการชี้แจงของครม. ฟังการชี้แจงของรัฐบาล ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ผมรู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย ผมเสียดายเวลาของประเทศไทยที่ต้องเสียไปผมเสียดายถึงศรัทธาของพี่น้องประชาชน ผมเสียดายส่วนตัวของผมเองที่ผมเคยเป็นคนที่ให้คะแนนกับพรรคจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2543 ตั้งแต่ยังเป็นอดีตพรรค… ท่านส่งผู้ว่าฯ กทม. ตั้งแต่ผมจำความได้ ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคท่าน แต่จนมาถึงวันนี้ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย จนผมฟังแล้วผมไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ววาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ไอ้ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ทำ ไอ้ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้หาเสียง จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ รัฐบาลชุดนี้ไม่มีวาระเป็นของตัวเอง พอไร้วาระ ก็ไร้วิสัยทัศน์ ไร้วิสัยทัศน์ก็ไร้ผลงาน”
จากนั้น พิธา ได้สรุปการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 152 ว่า ตนกังวล วิสัยทัศน์ 8 พรรคของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของพี่น้องประชาชน “IGNITE THAILAND” จะกลายเป็น “DARKNESS THAILAND” ซึ่ง “มืด 8 ด้าน” ได้แก่ มืดเรื่องปากท้อง, มืดแก้ส่วย, มืดผูกขาด, มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ, มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ,มืดปฏิรูปกองทัพ, มืดมนคุณภาพชีวิต และมืดกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ พิธา ได้อภิปรายสรุปภาพรวมครอบคลุมเนื้อหาของสมาชิกฝ่ายค้าน ตลอด 2 วันที่ผ่านมา
และช่วงท้าย พิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ
1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวะผู้นำของรัฐบาล ตนคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม. ได้แล้ว นำคนที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องเข้ามาทำงาน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือนพอที่จะเห็นภาพว่า ใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องทำอยู่หรือไม่
2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรี จะมีโรดแมปในสิ่งที่จะทำได้แล้ว
3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 ฟังเพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็จะเป็นเสียงที่ประเสริฐที่สุด
ต่อจากนั้น สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานฯ และสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส. ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อการอภิปรายเสร็จสิ้นลง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 66 – 9 เม.ย. 67
ทั้งนี้ ได้อ่านพระราชกฤษฎีกา ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 67 และประธานฯ สั่งปิดการประชุม ในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายฯ ทั้งสิ้น กว่า 36 ชั่วโมง
ประมวลภาพ




ภาพ ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ / Thai News Pix










