นายกฯ เตือนอย่ารับสายเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ อย่ากลัวถูกอ้างเป็นเจ้าหน้าที่โทรมาหากไม่ได้ทำอะไรผิด เผยร่วมมือกับกัมพูชาปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมมือกับประเทศกัมพูชาปราบปรามปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนจำนวนมาก และมักดำเนินการจากนอกประเทศไทย และขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้บันทึกไว้อย่าไปรับ เนื่องจากอาจถูกแบบอ้าง
“ดังนั้นใครจะพูดกับใครขอให้เมมเบอร์ไว้ อย่าไปรับโทรศัพท์และอย่าเชื่อการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ถ้าตัวเองไม่ได้มีความผิดก็อย่าไปกลัว ให้แจ้งความ วันนี้จะมีความร่วมมือทั้งในและนอกประเทศ กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยกัมพูชาเริ่มแล้วในการแลกเปลี่ยนข้อมูล จับกุมส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทำให้การปราบปรามมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะช่วยลดการเกิดเหตุให้น้อยลงได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam
เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือให้เจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 ประเทศ ได้ใช้มาตรการที่เหมาะสม และมีความสอดคล้องกับกฎหมายภายในของทั้ง 2 ประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับปราบปรามผู้กระทำผิด ตลอดจนการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งไทยและกัมพูชา เพื่อผลักดันมาตรการต่าง ๆ ร่วมกัน เน้นย้ำนโยบายที่รัฐบาลถือว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วน เนื่องจากมีประชาชนชาวไทยได้รับผลกระทบและเสียหายจากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สาระสำคัญของความตกลงระหว่างไทยและกัมพูชา จะมีกิจกรรมที่ผ่านการตัดสินใจร่วมกัน ดังนี้
1.แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ภายใต้ระบบและกรอบการทำงานที่ดำเนินงานร่วมกัน อาทิ กลไกสนับสนุนส่งเสริมส่งผ่านข้อมูลข้ามพรมแดน
2.แต่งตั้งผู้ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสืบหาหลักฐานในไทย และกัมพูชา และขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดโดยหลักฐานดังกล่าวอาจจะรวมถึงข้อมูลที่อยู่ผู้ใช้บริการการสื่อสารทางเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต และบันทึกการใช้โทรศัพท์ของผู้กระทำความผิดที่ได้กระทำระหว่างก่ออาชญากรรมทั้ง 2 ประเทศ
3.ประสานงานและอำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้รายข้ามแดน รวมทั้งกฎหมายและกฎระเบียบภายในประเทศของผู้เข้าร่วมทั้ง 2 ฝ่าย
4.ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องของทั้งไทยและกัมพูชา
5.ความร่วมมืออื่นๆ ตามที่ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน
ทั้งนี้บันทึกความเข้าใจที่ทำร่วมกันนี้จะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม และอาจขยายระยะเวลาบังคับได้อีก 3 ปี ด้วยการจัดทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งการลงนามจะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. 2565 ที่กัมพูชา ในโอกาสที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา เพื่อติดตามประเด็นการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam










