‘ประวิตร’ สั่งตั้งศูนย์อำนวยการน้ำส่วนหน้าช่วยเหลือประชาชนเดือนร้อนจากสถานการณ์น้ำ พร้อมอนุมัติ 912 ล้านบาท บริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน 2565 เพิ่มเติมจำนวน 576 โครงการ ขณะเดียวกันอนุมัติงบกลาง 664 ล้านบาทให้กรมชลประทาน ใช้จัดหาเครื่องจักรกลสูบน้ำ 203 เครื่อง เพิ่มประสิทธิภาพและแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง
นายอนุชา นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แลพรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการที่ประชุมครม.รับมือสถานการณ์น้ำ ในช่วงเดือน กันยายน – ตุลาคมนี้ โดยพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง มีแนวโน้มน้ำเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝน จึงขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมขังอย่างทันท่วงที สั่งการให้มีการฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ให้คลี่คลายโดยเร็ว และเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการมวลน้ำที่มีจำนวนมาก
นายอนุชา กล่าวว่า ให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) จัดตั้งศูนย์อำนวยการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ที่ จ.อุบลราชธานี คาดว่าจะดำเนินการในวันที่ 8 กันยายนนี้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นเจ้าภาพในการบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชน สำคัญที่สุดคือขอให้ทุกหน่วยงานมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนไม่ให้รับความเดือดร้อน หรือให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด
นายอนุชา กล่าวว่า ครม.งบกลาง กรอบวงเงิน 911.7120 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2565 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2565/66 เพิ่มเติม จำนวน 576 โครงการ โดยจะเป็นการดำเนินการภายใต้ 3 กระทรวง 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 192.0700 ล้านบาท
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 519 โครงการ วงเงินรวม 619.7137 ล้านบาท โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จำนวน 496 โครงการ วงเงิน 376.4279 ล้านบาท และกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 23 โครงการ วงเงิน 243.2858 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทย จำนวนทั้งสิ้น 53 โครงการ วงเงินรวม 99.9283 ล้านบาท ประกอบด้วย จังหวัด จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 4.5790 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 40 โครงการ วงเงิน 62.1180 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 11 โครงการ วงเงิน 31.6313 ล้านบาท และเทศบาลตำบล จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 1.6000 ล้านบาท
“เมื่อโครงการต่างๆ ดำเนินการแล้วเสร็จนั้น จะมี พื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 3,542 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ประมาณ 542 ครัวเรือน ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 3.32 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถกำจัดผักตบ/วัชพืชน้ำได้ถึง 97,988 ตัน รวมถึงจะมีการซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์อีก 9 แห่งด้วย” นายอนุชา กล่าว
นายอนุชา กล่าวว่า ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการจัดหาเครื่องจักรกลสูบน้ำ ที่มีสมรรถนะสูงและมีคุณลักษณะเฉพาะตรงกับความจำเป็นใช้งานเพียงพอพร้อมสนับสนุนภารกิจของกรมชลประทานเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพปฏิบัติงานป้องกันความเสียหายและบรรเทาภัยที่เกิดจากน้ำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการทดแทนเครื่องสูบน้ำที่มีอายุการใช้งานมากและมีประสิทธิภาพการทำงานต่ำ ซ่อมแซมไม่คุ้มค่า รวมทั้งยังเป็นการปรับแผนวิธีการหรือแนวทางการประเชิญเหตุอุทกภัยและภัยแล้งเพิ่มประสิทธิภาพการปฎิบัติงานป้องกันความเสียหายและบรรเทาภัยอันเกิดจากน้ำ ช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่รวดเร็ว
โครงการจัดหาเครื่องจักรกลสูบน้ำเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง รวม 3 รายการ โดยเป็นเครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่งขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาดท่อต่างๆ ดังนี้
-ขนาดท่อส่งไม่น้อยกว่า 8 นิ้ว จำนวน 27 เครื่อง งบประมาณ 67,130,100 ล้านบาท
-ขนาดท่อส่งไม่น้อยกว่า 10 นิ้ว จำนวน 34 เครื่อง งบประมาณ 99,749,200 ล้านบาท
-ขนาดท่อส่งไม่น้อยกว่า 14 นิ้ว จำนวน 142 เครื่อง งบประมาณ 497 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 203 เครื่อง วงเงินรวมทั้งสิ้น 663,879,300 ล้านบาท










