‘เส้นด้าย’ แนะรัฐเร่งฟื้นจุดพักคอยชุมชน ชี้เป็นทางออกระยะยาวอยู่ร่วมโควิด แม้กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่การเฝ้าระวังรักษาแตกต่างจากโรคอื่น ร่วมเอกชนนำร่องสร้างชุมชนริมทางด่วนบางนาเป็นต้นแบบของศูนย์สาธารณสุขชุมชน
วันที่ 6 มี.ค. 2565 นายภูวกร ศรีเนียน รองประธานกรรมการมูลนิธิเส้นด้าย กล่าวถึงสถานการณ์โควิดว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้ออกมาเรียกร้องให้ ทุกชุมชนในกทม.และเมืองใหญ่ ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น เร่งเปิดจุดพักคอยในชุมชน เพื่อแยกตัวผู้ติดเชื้อ ออกจากบ้าน ที่อยู่รวมกันหลายคน และไม่สามารถรักษาตัวที่บ้านได้
นายภูวกร มองว่า ปัจจุบันนโยบายการรับมือโควิด จากภาครัฐที่เปลี่ยนไป โดยการจำกัดงบประมาณ ทำให้โรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถรับตัวผู้ติดเชื้อโควิดทั่วไป เข้ารับการรักษา ในโฮสพิเทลเครือข่ายได้อย่างเดิม โดยจะสามารถรับผู้ติดเชื้อได้ตามสิทธิ์พื้นฐานที่มีเท่านั้น ประกอบกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว หลายหมื่นคนต่อวัน มากกว่าปีที่แล้วแล้วด้วยซ้ำ ทำให้ การแยกตัวผู้ติดเชื้อทำได้ยากขึ้น ถึงแม้จะมีความมั่นใจว่า ประชาชนได้รับวัคซีนดันพอสมควร ประกอบกับความเห็นทางการแพทย์ว่าเชื้อโอมิคอนไม่รุนแรง นโยบายภาครัฐจึงเน้นไปที่ให้ประชาชนรักษาตัวที่บ้าน
“ปัญหาที่พบทันทีตอนนี้คือ แม้ผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง แต่มีจำนวนมากที่ไม่พร้อมจะรักษาตัวที่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย เนื่องจากอยู่รวมกันหลายคนกังวลจะแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัว ที่มีทั้งเด็กและผู้สูงวัยที่ผ่านมา จึงได้เกิดเหตุการผู้ติดเชื้อออกมานอนข้างถนน” นายภูวกร กล่าว
นายภูวกร เชื่อว่า การเปิดจุดพักคอยในชุมชน เพื่อเร่งแยกผู้ติดเชื้อ ออกจากครอบครัว ให้เร็วที่สุด จะมีส่วนช่วยลดการแพร่เชื้อ ลดปัญหาทางสังคมได้ทันที ซึ่งปีที่ผ่านมาช่วงวิกฤตหนัก หลายแห่งทำจุดพักคอยรองรับกันมาก แต่ในการระบาดรอบปีนี้ กลับยังไม่เห็น ศูนย์พักคอยชุมชน ดังกล่าว เปิดบริการอย่างที่ควรจะเป็น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร การสนับสนุนจากภาครัฐไม่มี หรือ คยในชุมชนไม่เห็นความสำคัญบางแห่ง ชุมชนพร้อม แต่หน่วยราชการในพื้นที่กลับไม่อนุญาต เช่น ชุมชนคลองเตย เชื่อว่าโควิด จะยังอยู่กับสังคมอีกระยะยาว แม้จะเป็นโรคประจำถิ่น แต่ก็ยังต้องมีการจัดการที่พิเศษกว่า โรคทั่วไปอยู่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้เส้นด้ายได้ร่วมกับเอกชน ทำศูนย์พักคอยต้นแบบที่ชุมชนริมทางด่วนบางนา นอกจากจะดูแลเรื่องโควิดแล้ว จะเป็นต้นแบบของศูนย์สาธารณสุขชุมชน โดยตั้งใจจะขยายรูปแบบให้มีทั่วทั้ง 2,000 ชุมชน ทั่วกทม. รวมถึงชุมชนแออัดตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ










