ศาลฎีกาฯ พิพากษาอุทธรณ์ ‘วัฒนา เมืองสุข’ คดีบ้านเอื้ออาทร จำคุกจริง 50 ปี-ริบทรัพย์ 89 ล้านบาท

ศาลฎีกาฯ พิพากษาอุทธรณ์ ‘วัฒนา เมืองสุข’ คดีบ้านเอื้ออาทร จำคุกจริง 50 ปี-ริบทรัพย์ 89 ล้านบาท

การเมือง

ศาลฎีกาฯ พิพากษาอุทธรณ์คดีบ้านเอื้ออาทร ‘วัฒนา เมืองสุข ‘ มีความผิดตามคำฟ้อง จำคุก 99 ปี แต่คงจำคุกจริง 50 ปี ร่วมชดใช้เงิน 89 ล้านบาท ชำระภายใน 30 วัน 

วันที่ 4 มี.ค. 2565 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11

โดยคดีดังกล่าว ศาลฎีกาฯได้เคยอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไปเมื่อ 24 ก.ย.2563 ที่ตัดสินจำคุกจำเลยในคดีดังกล่าว อาทิ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพราะกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 รวมความผิด 11 กระทง กระทงละ 9 ปี รวม 99 ปี แต่คงจำคุกจริง 50 ปี ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้ตัดสิน และต่อมาศาลฎีกาให้ประกันตัววัฒนา โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 10 ล้านบาท

ต่อมานายวัฒนาได้อุทธรณ์คดี ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ของศาลฎีกาฯ และได้แถลงปิดคดีด้วยวาจายืนยันว่าสำนวนการสอบสวนคดีนี้ มีความผิดปกติหลายประเด็น และตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอภิชาติที่แอบอ้างชื่อตัวเองไปเรียกรับผลประโยชน์กับบริษัทเอกชน อีกทั้งปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วไม่พบความผิดปกติ ซึ่งศาลฎีกาฯ นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 มี.ค.นี้ ขณะที่นายอริสมันต์ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาและศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว

ทั้งนี้การอ่านของศาลใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สรุปกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยคำอุทธรณ์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้นศาลยืนคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกนายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 ที่มีความผิดทั้งหมด 11 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 9 ปี รวมทั้งหมด 99 ปี ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี และให้ยึดเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดจำนวน 89 ล้านบาท โดยให้จำเลยที่ 1 /จำเลยที่ 4 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง และจำเลยที่ 8 คือบริษัทเพรซิเดนท์อะกริเทรดดิ้ง โดยให้จ่ายภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีคำพิพากษา หากเกินจากกำหนดจะต้องชำระพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5

ทั้งนี้นายวัฒนาได้อุทธรณ์ อ้างว่าไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 148 ไม่มีอำนาจสั่งการคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แต่องค์คณะ เห็นเป็นเอกสารว่าขณะเกิดเหตุนายวัฒนา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีอำนาจ สั่งคณะกรรมการการเคหะฯ ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวง พม. ที่จะต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐมนตรีได้ จึงถือเป็นเจ้าพนักงานรัฐและเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 ยังไปร่วมประชุมกับบอร์ดการเคหะและยังขอให้ปรับปรุงทีโออาร์การทำโครงการบ้านเอื้ออาทร และยังเห็นว่าการสอบสวนของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถือเป็นการจูงใจขู่เข็ญพยาน แต่เป็นการทำเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล และที่อ้างว่าจำเลยที่ 4 หรือเสี่ยเปี๋ยง ไม่ใช่ที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการของนายวัฒนา นั้น ก็มีหลักฐานในการประชุมของคณะกรรมการการเคหะถึง 7 ครั้ง ที่ต้องส่งเอกสารถึงจำเลยที่ 4 และระบุตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา และจากการสอบสวนยังพบว่าจำเลยที่ 4 อาศัยช่องว่างจากการปรับหลักเกณฑ์ทีโออาร์มาหาประโยชน์ รวมทั้งยังมีหลักฐานการจ่ายเช็ค เพื่อให้ได้มาซึ่งการขายที่ดินเข้าโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเป็นคนละส่วนกับค่านายหน้า องค์คณะเสียงข้างมากจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 7 เป็นการกระทำเป็นกระบวนการมีการกระทำผิด

ด้านทีมทนายความ กล่าวว่า หลังฟังคำพิพากษาแล้ว เราต้องกลับมานั่งดูก่อนทำไมศาลยืนเหมือนศาลชั้นต้น เรายอมรับคำพิพากาษาเพราะกติกา เป็นกระบวนยุติธรรม นายวัฒนาฝากมาบอกว่าไม่ได้ยอมรับว่าผิด เพราะยืนยันต่อสู้คดีมาตั้งแต่ปี 2549 ไม่ได้หนี เพื่อแสดงเจตนาว่าบริสุทธิ์ แต่เคารพในคำพิพากษา ซึ่งวันนี้ไม่ได้คิดว่าคดีจะออกมาเป็นแบบนี้ จึงไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะเสื้อยืด บอกให้นายวัฒนาไปใช้ของราชทัณฑ์ก่อน จากนี้จะถูกกักตัวเพื่อตรวจหาเชื้อโควิดเป็นเวลา 21 วัน และไปจำคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทั้งนี้นายวัฒนาเป็นคนเข้มแข็งมาก เป็นคนว่าความเรื่องนี้มาตลอด ทีมทนายช่วยในเรื่องข้อมูล ทั้งนี้จะถวายฎีกาหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้งก่อน

คดีนี้เกิดขึ้นในยุคนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเริ่มตรวจสอบการกระทำผิดในช่วงของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก่อนเปลี่ยนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสอบสวนต่อ กระทั่งปี 2560 ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา พร้อมกับพวกอีก 14 คน กรณีทุจริตเรียกรับสินบนจากบริษัท พาสทิญ่า จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทร ผ่านบริษัทและลูกจ้างบริษัท เพรซิเด้นท์เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 82.6 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายสินบนเพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ โดยหลังจาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการ ปรากฏว่า อัยการพบความไม่สมบูรณ์ในสำนวน จึงต้องตั้งคณะกรรมการร่วมทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นมาพิจารณา สุดท้ายอัยการสูงสุดชี้ขาดสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ทั้งนี้ก่อนการฟังคำพิพากษา นายวัฒนา เดินทางมาด้วยตัวเองพร้อมเปิดเผยว่า มายืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองและตามหาความเป็นธรรม ที่ผ่านมาสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยหลักการในการพิจารณาคดีอาญาเป็นหลักการพื้นฐานสากลที่สำคัญ ประการแรกองค์ประกอบของกฎหมายต้องครบ สองข้อเท็จจริงที่นำมาสู่การกล่าวหาต้องพิสูจน์ได้ และสามพยานหลักฐานที่นำมากล่าวหาต้องได้มาโดยชอบ ซึ่งคดีนี้ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดตั้งแต่แรกจนสุดท้าย

“จะสู้ทุกวิถีทางรวมถึงการถวายฎีกาในฐานะพสกนิกร นอนหลับปกติ วันนี้มั่นใจในการต่อสู้คดี แต่เตรียมใจไว้ 2 ด้าน และยอมรับคำพิพากษา หากไม่เป็นไปตามครรลองจะสู้คดีจนสุดทาง ถ้าเป็นโควิดเสียชีวิตก็ช่วยไม่ได้ และเชื่อมั่นว่าในคดีนี้เป็นเรื่องการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์” นายวัฒนา กล่าว

สำหรับบรรยากาศการฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาวันนี้ มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ มาร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง