ทร. แถลงผลสอบ ‘เรือหลวงสุโขทัย’ อับปาง ‘อดีตผู้บังคับการเรือ’ ขอลาออก หลังจบการลงโทษ

ทร. แถลงผลสอบ ‘เรือหลวงสุโขทัย’ อับปาง ‘อดีตผู้บังคับการเรือ’ ขอลาออก หลังจบการลงโทษ

กองทัพเรือ แถลงผลสอบ ‘เรือหลวงสุโขทัย’ อับปาง ปลายปี 65 เหตุสุดวิสัยจากอากาศแปรปรวนอย่างฉับพลัน ‘ผู้บังคับการเรือ’ ใช้ดุลยพินิจขาดความรอบคอบ เจ้าตัวขอลาออกทันที หลังจบการลงโทษ แสดงความรับผิดชอบ

วันนี้ (9 เม.ย. 67) กองทัพเรือ จัดแถลงผลสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีเรือหลวงสุโขทัย ประสบเหตุอับปาง กำลังพลเสียชีวิต 24 นาย สูญหาย 5 นาย และรอดชีวิต 76 นาย นำโดย พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) รวมถึง นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี อดีตผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย

ทั้งนี้ มีการเปิดวิดีทัศน์เป็นภาพจำลองสรุปสาเหตุ จากนั้นได้เปิดให้ผู้สื่อข่าวและผู้ที่มาร่วมสังเกตการณ์ ซักถาม รวมกว่า 2 ชั่วโมง

สรุปประเด็นจากวิดีทัศน์ได้ดังนี้

– 17 ธ.ค. 65 เวลา 17.30 น. เรือหลวงสุโขทัย ออกเดินทางจากท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ที่หมาย หาดทรายรี จ.ชุมพร

– หลังออกเรือครึ่งชั่วโมง ได้มีประกาศแจกจ่าย เสื้อชูชีพ ให้กำลังพลของหน่วย ซึ่งเรือหลวงสุโขทัยมีเสื้อชูชีพทั้ง 120 ตัว เพียงพอสำหรับกำลังพลที่ออกปฏิบัติการในครั้งนี้ (กำลังพลที่ไปทั้งหมด 105 นาย) แต่หลังจากประกาศ ปรากฏว่ากำลังพลยังไม่มารับเสื้อชูชีพครบ เนื่องจากมีภาระส่วนตัว ไม่ได้ยินการประกาศ บางส่วนไม่คุ้นเคยเส้นทางทางเรือ

– เวลา 02.00 น. เครื่องจักรใหญ่ซ้ายเกิดการขัดข้องทำให้ความเร็วลดลงจากเดิมเกือบครึ่ง เกิดคลื่นลมมีความแปรปรวนตลอดเวลา คลื่นมีความสูงขึ้นเป็นลำดับ จนถึงเวลา 04.00 น. สภาพคลื่นลมเริ่มรุนแรงมากขึ้น คลื่นสูงประมาณ 4 เมตร เรือมีอาการโคลงในลักษณะขึ้น-ลงอย่างรุนแรง

– 04.30 น. ตรวจพบประตูทางเข้าบริเวณหัวเรือกาบซ้ายเปิดอยู่ และสะบัดกระแทกจนเกิดเสียงดัง กำลังพลประจำเรือจึงได้ปิดประตูแนบสนิท และหมุนควงมือล็อกจนเรียบร้อย พบมีน้ำสาดเข้ามาที่พื้น แต่ไม่มีน้ำนอง

– 05.00 น. ประตูดังกล่าวเปิดและสะบัดกระแทกจนเกิดเสียงดังอีก เมื่อปิดแล้วไม่สามารถหมุนควงมือล็อกได้ จึงใช้เชือกมัดไว้ โดยมีน้ำไหลออกมาจากขอบประตูด้านล่างของห้อง และมีน้ำไหลออกจากท่ออากาศดีเป็นช่วงๆ

– 6.00 น. เรือเดินทางใกล้หาดทรายรี เป็นพื้นที่ทะเลเปิด ขณะนั้นสภาพคลื่นลมรุนแรง ไม่มีเกาะบัง คลื่นสูง 4-6 เมตร ทำให้ไม่สามารถนำเรือจอดทอดสมอได้

– 6.30 น. เครื่องไฟฟ้าหมายเลข 3 หยุดการทำงาน จึงเดินเครื่องไฟฟ้าหมายเลข 1 ทดแทน

– 7.00 น. ผู้บังคับการเรือ ตัดสินใจนำเรือกลับขึ้นทางเหนือ ทิศทางสวนคลื่น สวนลม ต่อมาเกิดเสียงสัญญาณเตือนน้ำท่วมที่สะพานเดินเรือ เตือนว่ามีน้ำท่วมพื้นห้องคลังลูกปืน 40 มิลลิเมตร ตรวจสอบพบว่ามีน้ำไหลซึม ออกมาจากขอบล่างของประตูห้องบรรจุลูกปืน หลังเปิดประตูสำรวจมีน้ำไหลออกทางประตู จึงได้พยายามปิดต้านแรงดันน้ำจนปิดได้ กำลังพลช่วยกันต่อแถว วิดน้ำเพื่อระบายน้ำออกทางดาดฟ้าเปิดบริเวณประตูข้างห้องพักนายทหารสัญญาบัตร

– 7.45 น. ได้ติดต่อ ศรชล จ.ชุมพร ในการลำเลียงกำลังพลขึ้นฝั่ง แต่ได้รับแจ้งว่า เรือเล็กไม่สามารถออกมารับกำลังพลได้ เนื่องจากคลื่นลมแรง

– 8.00 น. เรือหลวงสุโขทัย ตกลงใจเดินทางกลับฐานทัพเรือสัตหีบ เนื่องจากคลื่นลมแรง และไม่สามารถจอดทอดสมอ ณ หาดทรายรี ได้ ระหว่างนั้นได้รับการประสานจากทัพเรือภาคที่ 1 ให้ส่งกำลังพลที่เดินทางร่วมไปกับเรือ จำนวน 30 นาย ที่ท่าเรือประจวบฯ จึงได้ประสานขอรับการสนับสนุนการเข้าจอดเรือ และได้มีการประกาศผ่านระบบประกาศซ้ำให้กำลังพลที่เหลือมารับเสื้อชูชีพ

– 8.15 น. ตรวจพบน้ำนองสูง 5 เซนติเมตร บริเวณช่องทางเดินหน้าห้องศูนย์ยุทธการ ภายในศูนย์ยุทธการ และห้องวิทยุ

– 8.30 น. เกิดไฟฟ้าช็อต ไหม้หม้อแปลงไฟฟ้า 220 โวลต์ มีการดับไฟ แต่ตัดไฟ

– 10.00 น. เรือหลวงสุโขทัย ติดต่อกับท่าเรือประจวบฯ เพื่อขอข้อมูลหน้าท่าเรือ และสภาพคลื่นลม เพื่อประกอบการพิจารณานำเรือเข้าจอดเทียบท่า

– 10.15 น. เกิดไฟไหม้ เครื่องสำรองไฟฟ้า สำหรับคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมภายในห้องวิทยุ เจ้าหน้าที่สามารถดับไฟได้ ระบบสื่อสารภายในยังใช้งานได้ แต่ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมใช้งานไม่ได้

– 10.20 น. ได้รับการประสานข้อมูลสภาพคลื่นลม บริเวณท่าเรือประจวบฯ มีคลื่นและลมรุนแรงมาก ไม่ปลอดภัยต่อการนำเรือเข้าเทียบหรือทอดสมอ

– 12.00 น. ห้องบรรจุลูกปืน ยังมีน้ำไหลเข้ามา เรือหลวงสุโขทัย จึงเปลี่ยนเข็มให้คลื่นลมส่งท้าย เพื่อตรวจสอบฝาแฮท พบว่าฝาเผยอ ออกจึงไขเกลียวปิดและมัดด้วยเชือก

– อีก 15 นาทีต่อมา ท่าเรือประจวบฯ ยังไม่สามารถจัดเรือลากจูง สนับสนุนการเข้าเทียบได้และขอเวลาเตรียมการ เนื่องจากไม่ได้มีการแจ้งไว้ล่วงหน้า

– 12.45 น. เรือหลวงสุโขทัย เดินเรืออยู่ห่างจากท่าเรือประจวบฯ 15 ไมล์ ได้ร่วมกันพิจารณาตัดสินใจ ผู้บังคับการเรือ ตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพเรือสัตหีบ ขณะนั้นทะเลมีสภาพคลื่นลมรุนแรงมาก คลื่นสูง 4-5 เมตร

-13.00 น. มีเสียงเตือนน้ำท่วม ภายในห้องปฏิบัติการต่อต้านเรือดำน้ำ พบน้ำไหล ตัวเรือกาบซ้ายมีน้ำท่วม มีการใช้เครื่องสูบน้ำออกน้ำ ระหว่างนั้นมีไฟดูดกำลังพล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตักน้ำส่งต่อกัน เพื่อระบายน้ำออกนอกตัวเรือ

– 14.00-15.00 น. ระบบพิทช์ใบจักรมีกำลังดันลดลง 2 ครั้ง สามารถแก้ปัญหาได้ทั้ง 2 ครั้ง ขณะสภาพคลื่นลมเพิ่มขึ้น รุนแรงผิดปกติ

– 15.00 น. น้ำท่วมบริเวณ หน้าห้องเครื่องไฟฟ้า 3 สูงประมาณ 3 ฟุต เจ้าหน้าที่นำเครื่องสูบน้ำใต้น้ำ แต่ทำไม่ได้ เพราะมีไฟดูด จึงให้กำลังพลมาช่วยระบายน้ำออก จนถึงเวลา 16.30 น. ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน จึงได้ขึ้นมาปิดประตูผนึกน้ำด้านบน เหตุการณ์หน้าห้องไฟฟ้ามีมาต่อเนื่องตั้งแต่เช้า ช่วงแรกยังสามารถควบคุมน้ำได้ แต่หลังจากป้อมปืนแตก น้ำเข้าในเรือมากเกินกว่าจะควบคุม

– 15.45 น. ตรวจพบใยแก้วสีเหลืองบริเวณเปลือกไฟเบอร์ป้อมปืน 76 มิลลิเมตร โดยไม่สามารถเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด

– 16.00 น. ผู้บังคับการเรือ ตัดสินใจ หันเรือกลับท่าเรือประจวบฯ อีกครั้ง โดนคลื่นซัดด้านท้ายเรือ

– 17.45 น. เรือเอียงมากขึ้น มีการใช้สัญญาณไฟ SOS ต่อมาเครื่องไฟฟ้าดับลง

– 18.10 น. ผู้บังคับการเรือ ได้สั่งให้นับกำลังพล พบว่ามีครบ 105 นาย แต่มีทั้งกำลังพลที่สวมเสื้อชูชีพ และไม่สวมเสื้อชูชีพ ช่วงเวลานั้น ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้สั่งการให้เรือหลวงกระบุรี ออกไปช่วย เรือหลวงสุโขทัย

– 20.00 น. เครื่องบินลาดตระเวน ขึ้นบิน เรือหลวงกระบุรี เข้าถึงเรือหลวงสุโขทัย เวลา 20.01 น. เกิดเรือหลวงสุโขทัย อับปาง

– 23.30 น. ท้ายเรือเริ่มจม

– 0.12 น. ของวันที่ 19 ธ.ค. 65 เรือหลวงสุโขทัยได้จมลงทั้งลำ

พล.ร.ต.สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวตอนหนึ่งว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสรุปว่า กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ไม่ได้เกิดจากความจงใจของผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย และกำลังพลบนเรือ แต่เกิดจากสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจริงแปรปรวนอย่างฉับพลัน ทำให้เรือเกิดสภาวะผิดปกติและน้ำเข้าเรือจากรูทะลุ เป็นเหตุที่ทำให้เรือเอียงและอับปาง อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย ตัดสินใจนำเรือปรับฐานสัตหีบ ซึ่งมีระยะทางไกลและใช้ระยะเวลาเดินทางมากกว่า ที่จะนำเรือเข้าเทียบท่าเรือประจวบฯ เป็นการใช้ดุลยพินิจโดยขาดความรอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหาย จึงเชื่อว่าการอับปางของเรือหลวงสุโขทัย มีส่วนเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ในการใช้ดุลยพินิจโดยขาดความรอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายของผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย เป็นความผิด ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ 2476 โดยเห็นสมควรลงทัณฑ์ “กัก” เป็นเวลา 15 วัน ซึ่งทัพเรือภาคที่ 1 ได้เสนอกองทัพเรือให้ดำเนินการทางวินัย กับผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย กับให้ส่งผลการพิจารณาให้ คณะกรรมการสอบฯ ความรับผิดทางละเมิดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนในความผิดทางอาญา ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางสะพาน ที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี อดีตผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และตอนหนึ่งได้กล่าวว่า ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ใดตั้งใจทำให้เกิดขึ้น ตนและกำลังพลทุกนายได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดความสามารถ เพื่อกู้สถานการณ์ที่เกิดเหตุขึ้นในวันนั้น และได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ตามขั้นตอน แต่เหตุวิกฤติที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ในสถานการณ์วิกฤติและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้น ในฐานะผู้บังคับการเรือจำเป็นจะต้องมีการตัดสิน ดังนั้นการนำเรือกลับฐานทัพสัตหีบ จึงมาจากการใช้ดุลยพินิจของตน ซึ่งจากการประมาณสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น เรือยังอยู่ในสภาวะปกติไม่มีอาการเอียง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือยังสามารถควบคุมได้ จึงเชื่อว่าสามารถนำเรือกลับได้ แต่หลังจากที่ตัดสินใจนำเรือกลับ เกิดการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสภาพอากาศเลวร้ายกว่าเดิม

“ซึ่งการตัดสินใจของผม อาจเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่รอบคอบ จนส่งผลต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น ดังนั้นผมในฐานะผู้บังคับการเรือ จึงขอแสดงความผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการขอยอมรับโทษ ตามที่ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เสนอ และตามที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงจะเห็นควร นอกจากนี้แล้วหลังจากเรื่องทุกอย่างดำเนินการเสร็จสิ้น ผมขอแสดงเจตจำนงในการลาออกจากกองทัพเรือ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิด เป็นบ้านเกิดอันอบอุ่นของผม และเป็นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นการดำรงไว้ ซึ่งเกียรติของตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ที่นายทหารเรือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ดำรงมา” นาวาโท พิชิตชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นสอบถาม ผู้บัญชาการทหารเรือ ถึงความพร้อมของเรือลำอื่นของกองทัพเรือว่าจะให้ความมั่นใจกับประชาชนได้อย่างไร แต่ถามอดีตผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย ให้ยืนยันว่าไม่ใช่เหยื่อที่ไม่ได้รับความยุติธรรม

พลเรือเอก อะดุง ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ตามที่ได้เห็นและได้พิสูจน์ ดำน้ำไปตรวจแล้ว เรือจมเพราะมีรอยแตกของเรือ แตกแรกเกิดจากเบรกกันคลื่นที่ป้อมหัวเรือ อันเนื่องมาจากเรือต้องฟันคลื่นอยู่เป็นเวลานาน ไม่ได้เกี่ยวกับเรือที่เหลือของกองทัพเรือจะเสี่ยงไหม เรืออายุ 36 ปี ต้องตีคลื่นอยู่เป็นเวลานาน ทางเทคนิคเขาบอกแล้วว่าเกิดได้ ส่วนเรื่องน้ำเข้าแค่ 1 ตารางเมตรน่าจะเอาอยู่ แต่หลังจากดำน้ำแล้วเห็นป้อมปืนซึ่งไม่น่าแตก แตกเป็นรูใหญ่มากและประตูบางบานก็ถูกเปิดด้วยแรงกระแทกตลอดเวลา ทำให้ปริมาณน้ำเข้ามีจำนวนมาก เกินกว่าจะสูบออกได้ สิ่งที่เกิดทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเรือกองทัพเรือทุกลำจะเกิด แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่เราเจอคลื่นลมที่เกินกว่าที่เราคาดหวังและคิดว่าจะไม่เจอ

“ตอนออกเรือไปเรือรบทุกลำ คลื่นมียังไงก็ต้องออกเพื่อไปช่วยประชาชน แต่เราจะดูว่า คลื่นลมแต่ละครั้งเรือถูกสร้างมาให้ทนได้ไหม แต่ครั้งนี้ตอนออกเรือ เรือลำนี้ทนได้ กับพยากรณ์อากาศที่เราอ่านตอนออกเรือ แต่เมื่อวิ่งไปถึงตั้งแต่ตอนขาลงก็ยังเอาอยู่ แต่พอไปถึงใกล้ๆ ชุมพร เกิดการแปรปรวนเกินกว่ากำลังของเรือที่จะทนได้จากการต่อเรือจึงเป็นที่มาของการแตกและฉีกของตัวเรือ ส่วนที่ป้อมปืนแตกนั้น พล.ร.ต.อภิรมย์ (พล.ร.ต.อภิรมย์ เงินบำรุง คณะทำงานผู้เชี่ยววชาญด้านเทคนิคและคณะกรรมการสอบสวนฯ) ยอมรับว่าไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่รูที่เห็นทุกคนก็เห็นด้วยภาพ…มันทำให้น้ำเข้าเรือมหาศาล ขอบพระคุณที่ท่านห่วงว่าเรือรบไทยจะเสี่ยงไหม ไม่เสี่ยง เราจำเป็นชีวิตเพื่อออกเรือไปช่วยประชาชน แต่เราเสี่ยงแบบมีหลักการไม่ใช่เสี่ยงออกไปแบบไม่จมแบบนี้ แต่ครั้งนี้สุดวิสัยจริงๆ”

“จากที่ผู้บังคับบัญชาท่านชี้แจงมา การใช้ดุลยพินิจต่างๆ ของผม เป็นไปตามที่ได้ชี้แจง เป็นตามนั้นจริงครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำลังพลก็ดี การแก้ไขปัญหา การตัดสินใจนำเรือกลับสัตหีบก็ดีอยู่ภายใต้ดุลยพินิจ และคำสั่งการของผม ซึ่งในเรื่องความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ หรือปฏิบัติการอย่างไรก็แล้วแต่ ผู้บังคับการเรือ มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ผู้อื่นไม่สามารถมาแทรกแซงกรารปฏิบัติหรือสั่งการเป็นอย่างอื่นได้ นั่นหมายความว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น อยู่ภายใต้การประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจของผมแต่เพียงผู้เดียว ความยุติธรรมต่างๆ ในวันนี้ผมยอมรับและเห็นเป็นทิศทางเดียวกับที่ผู้บังคับบัญชาได้สอบสวนและสรุปมาในโทษต่างๆ ก็ดี หรือสาเหตุต่างๆ ก็ดี ขอยืนยันตรงนี้เลยว่าผมมิใช่เป็นเหยื่อของความยุติธรรม และขอยืนยัน ณ ที่นี้เลยว่า ทุกอย่างที่กองทัพเรือได้ทำการสอบสวนมาถูกต้องไม่มีการปกปิด ไม่มีการดำเนินการอื่นใดที่ผิดไปจากความจริงทั้งสิ้น และผมก็ขอยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราเป็นผู้บังคับบัญชา เราต้องรับผิดมาก่อนรับชอบ นี่เป็นสิ่งที่เรายึดกันมาตลอด” อดีตผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย กล่าว

ภาพ ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ / Thai News Pix

 

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง