อีก 6 ปีข้างหน้า (ปี2030) ประเทศสมาชิก UN – องค์การสหประชาชาติ รวมถึงไทยเรากำลังจะเข้าสู่ตัวเลขที่ขีดเส้นถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs แล้ว คำถามคือ ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่?
‘วิชาญ จิตร์ภักดี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะขับเคลื่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ แต่ภายในปี 2030 อาจจะไม่ทันเพราะช่วงเวลากระชั้นชิดเกินไป
ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่าทำได้แต่จะต้องใช้เวลา โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่ตอนนี้ได้หันมากำหนดเป้าหมายลดก๊าซคาร์บอนด์ภายในองค์กรให้มากที่สุด ตั้งเป้าหมายการลดเฉลี่ยต่อปี รวมถึงปรับเปลี่ยนธุรกิจเข้าสู่ความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ SCGP ได้รุกกลยุทธ์ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน เสริมลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในผลิตภัณฑ์ SCGP
[ กระบวนการผลิตสามารถระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ]
ล่าสุด SCGP ได้รับการรับรอง ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์’ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครอบคลุมกลุ่มสินค้าตั้งแต่ เยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์อาหาร และได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษ ที่สามารถระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามกรอบแนวทางการประเมินของ อบก. เพื่อตอบสนองความต้องการใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของลูกค้าและผู้บริโภค
‘วิชาญ’ เผยอีกว่า ภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น
โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง และบรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศในยุโรป
ส่วนธุรกิจเยื่อและกระดาษ ยอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวควบคู่กับการเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตอาหารและร้านอาหารบริการด่วน นอกจากนี้ความต้องการเยื่อสำหรับใช้ในการผลิตสิ่งทอและเครื่องแต่งกายยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์และกระดาษบรรจุภัณฑ์บางส่วนได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลของประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียในไตรมาสที่ 2 รวมถึงราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นทั้งภูมิภาค ขณะเดียวกันค่าขนส่งได้ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
โดยครึ่งปีแรก (ปี 2024) SCGP มีรายได้จากการขายเท่ากับ 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของภาคส่งออก และการฟื้นตัวของกลุ่มสินค้าคงทน มี EBITDA เท่ากับ 9,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากภาคการผลิต การบริการและการใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น คาดว่าช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ จะเริ่มผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นสำหรับเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงปลายปี โดยบริษัทยังคงงบลงทุนรวมในปีนี้ประมาณ 15,000 ล้านบาท










