เมื่อวานนี้ (9 พ.ย. 2566) สำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) จับมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดแถลงข่าวในหัวข้อ ‘การติดตามสภาวะตลาดทุนร่วมกันระหว่าง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ’ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นคืนสู่ตลาดทุน
โดย ‘พรอนงค์ บุษราตระกูล’ เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า จากประเด็นข้อสงสัยในการทำธุรกรรมขายชอร์ต (Short Sell) หรือการใช้โปรแกรมเทรดเข้ามาซื้อขายหุ้น จนอาจทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น
จากข้อมูลพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) การทำ Short Sell มีสัดส่วนอยู่ที่ 5.6% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งหากนำไปเทียบกับปี 2565 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 5.4% จะเห็นว่าการทำ Short Sell ไม่ได้มีสัดส่วนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ
ขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2566 มูลค่า Short Sell มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจริงอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้สัดส่วนการทำ Short Sell จะเพิ่มขึ้น แต่มูลค่าต่อวันกล้ับลดลง
โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ (Foreign) มีสัดส่วนการทำ Short Sell ในหุ้น SET100 เฉลี่ยที่ 10% สูงกว่านักลงทุนรายย่อย (Retail) ที่ 2% และที่สำคัญไม่พบว่าการทำ Short Sell เป็นสาเหตุที่กดดันราคาหุ้นให้ลดลง
ในทางกลับกัน พบว่าการทำ Short Sell ที่เกิดขึ้นโดยนักลงทุนรายย่อย มีผลต่อราคาหุ้น SET50 โดยหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์การทำ Short Sell จากนักลงทุนรายย่อยสูง ราคาหุ้นมักมีการปรับตัวลดลงมากตามไปด้วย
ในส่วนของโปรแกรมนั้น พบว่า ไม่ใช่การส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading: HFT) ทั้งหมด โดยมูลค่าการซื้อขายของ HFT คิดเป็นเพียง 10% เท่านั้น ซึ่ง HFT และ Non-HFT ซื้อขาย 70% ใน SET50 ในขณะที่รายย่อซื้อขายมากกว่าครึ่งอยู่ที่ 57% ใน Non-SET50
‘ก.ล.ต.ยืนยันจะไม่มีการแบน Short Sell เพราะเห็นถึงผลบวกมากกว่าผลลบ และยังมั่นใจในกลไกของการสอบทาน โดยมองว่าการทำ Short Sell ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นลดลง นอกจากนี้ ก.ล.ต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการกำกับดูแลการทำ Short Sell มาอย่างต่อเนื่องมา
ด้าน ‘ภากร ปีตธวัชชัย’ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำ Short Sell
แต่เกิดจากภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีบริษัทที่มีกำไรเติบโตได้ดีก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ แต่หากมองย้อนไปในปีที่แล้วจะเห็นตลาดหุ้นไทยลงน้อยกว่าที่อื่นเหมือนกัน
ดังนั้น ต้องติดตามและช่วยกันวิเคราะห์ถึงปัจจัยในแต่ละช่วงที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นหรือลง
และที่สำคัญ คือ จำเป็นต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติให้กลับมามั่นใจและกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
นับตั้งแต่ต้นปี 2566 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงไปแล้ว -15.91% หรือลดลง -267.20 จุด ดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,691.41 จุด และต่ำสุดที่ 1,371.22 จุด ล่าสุดในวันที่ 8 พ.ย. 2566 ดัชนีปิดที่ 1,404 จุด ลดลง -6.80 จุด หรือลดลง -0.48% จากวันก่อนหน้า










