ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS วันนี้พุ่งสูงสุด 6.08% หลัง กทม. เตรียมจ่ายหนี้ก้อนแรก ส่วนต่อขยายสีเขียว 2.3 หมื่นล้าน
หลังจากวันนี้ราคาหุ้น BTS ปรับตัวขึ้นค่อนข้างรุนแรง โดยปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 7.70 บาท ปรับตัวขึ้น 4.05% หรือ 0.30 จุด ในระหว่างวันราคาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 7.85 บาท หรือ 6.08% และทำจุดต่ำสุดที่ 7.45 บาท หรือ 0.68%
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สภา กทม. โหวตเห็นชอบให้กับการชำระหนี้ค่างานระบบไฟฟ้า (E&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ผ่าน ‘หนี้ 2 ก้อน’ ที่ กทม. ติดค้างกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ไว้ดังนี้
1) ก้อนแรก 23,000 ล้านบาท มาจากค่า E&M สายสีเขียวส่วนต่อขยาย โดยขณะนี้ กทม. เตรียมชงขอเบิกงานประมาณจากกระทรวงมหาดไทย ซึ่งหากได้รับการอนุมัติก็จะสามารถชำระหนี้ได้เลยภายในปีนี้ แต่หากทางกระทรวงมหาดไทยไม่อนุมัติ ก็จำเป็นจะต้องรอเข้าสภา กทม. อีกครั้ง
2) ก้อนที่สอง 30,000 ล้านบาท มาจากค่างานเดินรถสีเขียวส่วนต่อขยาย (O&M) แบ่งออกเป็นแยกฟ้อง 2 รอบ รอบแรกประมาณ 12,000 ล้านบาท (ยอดหนี้เดือนเม.ย. 2560 – พ.ค. 2564) ขณะนี้รอศาลปกครองสูงสุดตัดสิน ซึ่งทาง BTS เคยเผยในที่ประชุมว่าเดือน ต.ค.นี้จะได้ทราบถึงบทสรุป
ต่อมาแยกฟ้องอีกรอบ คิดเป็น 10,600 ล้านบาท (ยอดหนี้เดือน มิ.ย. 2564 – พ.ย. 2565) โดยยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ซึ่งคาดการณ์อาจจะต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าหากคดี O&M ของรอบแรก BTS ชนะ ผลรอบสองก็น่าจะสอดคล้องกัน ทั้งนี้ ยังมีในส่วนของยอดที่ยังไม่ได้ฟ้องอีกราว 7,000 ล้านบาท (ยอดหนี้เดือน พ.ย. 2564 – ก.ย. 2565) อีกด้วย
ในขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นเวลากว่า 2 ปี แล้วที่ราคาหุ้นของ BTS ได้รับแรงกดดันจากกรณีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ คาดการณ์กำไรของ VGI และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
ซึ่งคาดว่าภายในอีกสองเดือนข้างหน้า น่าจะได้เห็นปัจจัยบวกในเรื่องความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น หลังจากสภา กทม. เห็นชอบชำระหนี้ E&M ด้วยคะแนนเสียงที่เกินความคาดหมาย
ทั้งนี้ กรุงศรี พัฒนสิน ได้สอบถามกับทาง BTS และได้รับข้อมูลว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการดำเนินกระบวนการต่างๆก่อนเริ่มชำระหนี้ซึงหากนับตังแต่วันที่ 4 ต.ค. กระบวนการต่างๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 4 พ.ย.นี้
นอกจากนี้ทางกรุงศรี พัฒนสิน ยังมองว่าพัฒนาการที่ดีขึ้นของกฎเกณฑ์ต่างๆ จะเป็นแรงสนับสนุนเชิงบวกต่อกระแสเงินสดและงบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) ของ BTS แต่ไม่ใช่กับงบกำไรขาดทุน เพราะว่า BTS มีการบันทึกรายได้ E&M อยู่ในเกณฑ์ค้างรับ ขณะที่การก่อสร้างนั้นแล้วเสร็จไปตั้งแต่ 2560
ซึ่งจากการคำนวณของฝ่ายวิจัย หาก BTS นำเงินไปชำระหนี้ต่อจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) จะลดลงมาอยู่ที่ 1.16 เท่า จาก 1.45 เท่า (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2566)
และนอกเหนือจากกรณีของ E&M นั้นฝ่ายวิจัยยังมองว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษา กรณีข้อพิพาท O&M ภายในปีนี้ อ้างอิงจากความเห็นของ ‘คณะกรรมการตุลาการ’ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2566 ยืนตามศาลปกครองให้กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ชำระหนี้ค่าบริการเดินรถและซ่อมบำรุงจำนวน 1.17 หมื่นล้านบาทให้กับ BTS
อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำซื้อ BTS และคงราคาเป้าหมายที่ 8.5 บาท ในขณะที่ฝ่ายวิจัยยังมองไม่เห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของกำไรในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งความกังวลด้านกฎเกณฑ์ที่ผ่อนคลายลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาหุ้นได้










