‘ภากร ปีตธวัชชัย’ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2566 ปรับลดลงมา -16% แต่การปรับตัวลงไม่ได้ลดลงในทุกอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มธนาคารจากช่วงต้นปีปรับตัวลงมาแค่ -1.73% กลุ่มแฟชั่น -3.59% กลุ่มเฮลท์แคร์ -4% และกลุ่มไอซีที -8%
รวมถึงบางกลุ่มยังมีการบวกขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นเศรษฐกิจไทยยังเป็นการฟื้นตัวในรูป K-shape อยู่ ทำให้ธุรกิจฟื้นตัวไม่เท่ากัน
[ ตั้งแต่ต้นปีฟันด์โฟลว์ไหลออก 7 หมื่นล้าน ]
ด้านเงินลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ในปี 2565 มีเข้ามาค่อนข้างเยอะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท
แต่ในปี 2566 ฟันด์โฟลว์กลับข้างตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (25 ต.ค.66) ไหลออกไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านบาท
[ ต่างชาติยังคงถือหุ้นไทยไม่ได้ลดน้อยลง ]
ในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศไม่ได้ไหลออกไปยังคงอยู่มากขึ้นหากเทียบจากข้อมูลของเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว foreign holding อยู่ที่ 29.05% ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 29.31% แต่กระทบกับมูลค่าในการถือครองที่ปรับตัวลงไปพร้อมๆ กับดัชนีหุ้นที่ลงไปด้วย จาก 5.75 ล้านล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 5.02 ล้านล้านบาท
แต่ในทางกลับกันบางอุตสาหกรรมนักลงทุนจากต่างชาติมีการถือครองเพิ่มขึ้นในปีนี้ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีจาก 50% เป็น 64% กลุ่มบริการจาก 19.7% เป็น 22% แต่บางอุตสาหกรรมลดลงขึ้นอยู่กับปัจจัยความน่าสนใจของอุตสาหกรรมนั้นๆ
“ตลาดหุ้นไทยดูในภาพรวมค่อนข้างเข้าใจลำบาก ต้องดูเป็นแต่ละอุตสาหกรรม เป็นรายเซ็กเตอร์ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างไม่ว่าจะเป็นในส่วนของดัชนีหรือการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากการถือครองของนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างที่จะมีผลกระทบต่อตัวดัชนีในการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูงในช่วงหลัง” ภากร กล่าว
[ ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ติดลบอยู่ตลาดเดียว ]
ตลาดหุ้นไทยติดลบมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ แต่ทว่าไม่ได้เป็นตลาดเดียวที่ดัชนีปรับตัวลง เพราะทั่วโลกปรับตัวลงไปพร้อมๆกัน สาเหตุหลักๆ มาจากภาวะสงครามและการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนไปในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการขยายเวลาเปิดตลาดหุ้นและเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด อยู่ในขั้นตอนการปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หากมีความคืบหน้าจะออกมาอัปเดตและแจ้งให้ทราบ
[สร้างความเชื่อมั่น]
เรื่องของความเชื่อมั่น กรณีหุ้น MORE และหุ้น STARK สิ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราพยายามป้องกันแต่มันเกิดขึ้นได้ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนอยู่กว่า 900 บริษัท ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเคสที่ในอดีตเรายังไม่ได้เรียนรู้วิธีการรับมือที่ดีพอ แต่ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ได้มีการปรับปรุงเรื่องต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
และในเรื่องของสภาพคล่องของทั่วโลกมีการหายไป ความสามารถของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ในการทำกำไรกำลังถูกกระทบ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พยายามที่จะนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนพิจารณาได้อย่างเหมาะสมและทันเหตุการณ์ที่สุด ทั้ง 2 สิ่งที่เป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามปรับเปลี่ยนเพื่อให้นักลงทุนเห็นและเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น
[ จุดกลับตลาดหุ้นไทย ]
ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยากให้นักลงทุนดูข้อมูลและวิเคราะห์ และพิจารณาดูว่าข้อมูลเหล่านี้มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ระหว่างเรื่องของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน กับเรื่องสภาวะตลาดที่กำลังเห็นอยู่ในปัจจุบัน จุดนั้นจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดความพลิกผัน
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ภายนอกที่รุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น คือเรื่องของสงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดและมีผลต่อประเทศไทยค่อนข้างมาก รวมถึงเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ที่ยังคงสร้างความกังวลต่อตลาดอยู่
“ถ้าเหตุการณ์ความรุนแรงไม่ได้ยืดเยื้อและนักลงทุนกลับมาดูข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้มากขึ้นคิดว่าตรงนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย”
นอกจากนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมุ่งผลักดันความหลากหลายของนักลงทุน ประเภทของการลงทุน วิธีการลงทุน เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทยมากขึ้น










