นายกฯ ‘เศรษฐา’ ขู่ภาคเอกชน เก็บภาษี หากพบปลูกพืชในประเทศเพื่อนบ้านแล้วมีการเผา ภาคกิจแทรกลงพื้นที่แยกราชประสงค์ ตรวจสถานการณ์ PM 2.5 ในกทม.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ว่า ตอนนี้ตนทราบถึงปัญหาดังกล่าว และมีความเป็นห่วง โดยวันนี้ (13 ธ.ค. 66) ก็จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสั่งการว่า จะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่เรื่องนี้ก็ประสบปัญหาทุกปี เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลมีการคิกออฟ (Kick-off) ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่เผาป่า ซึ่งก็ไม่ได้ยอมแพ้ หรือนิ่งนอนใจ ก็ต้องบริหารจัดการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่รัฐบาลประกาศคิกออฟไปแล้วในพื้นที่ของภาคเหนือ เช่น จ.เชียงใหม่ แต่ว่าในส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่อนข้างที่จะแตกต่าง นายเศรษฐา ตอบว่า จริงๆ แล้วก็เกิดจากการเผา ถ้าหากนั่งเครื่องบินเข้ามาก็จะเห็นว่าภาคกลางก็มีการเผาสร้างของพืชผล เพราะฉะนั้นเราต้องให้เจ้าที่เกี่ยวข้องไปนั่งดูแลตรงนี้
ส่วนที่จะดึงกองทัพเข้ามาช่วยเหลือ นายเศรษฐา กล่าวว่า กองทัพได้ช่วยเหลืออยู่ตลอด เรื่องของพื้นที่พื้นที่ภาคเหนือได้พูดคุยกับแม่ทัพภาคสาม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ช่วยดูแลเฝ้าระวังการเผาป่า
เมื่อถามว่า ต้องพูดคุยกับภาคอุตสาหกรรมหรือภาคคมนาคม ในเรื่องของการขนส่งด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ที่ได้มาสัมมนาก็ได้ให้องค์ความรู้ไปส่วนหนึ่ง ซึ่งทุกคนทราบว่าปัญหาเหล่านี้ มันเกิดขึ้นกับทุกๆ ภาคส่วน และทุกคนมีส่วนที่จะรับผิดชอบทำให้ลดน้อยลงไป
เมื่อถามถึงเรื่องของการเผาของประเทศเพื่อนบ้าน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะว่าที่ประเทศเมียนมา ประเทศสปป.ลาว เอง ก็มีส่วนกับเราทุกๆ ปี ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยทางประเทศสปป.ลาว เรามีการพูดคุยที่ดีกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวแค่ประเทศสปป.ลาวอย่างเดียว แต่เราเอง ภาคเอกชนไปจ้างการปลูกพืชผลที่ประเทศสปป.ลาวเหมือนกัน จึงมีการพูดคุยกันว่า หากจะนำพืชผลกลับเข้ามาขายในประเทศไทย และยังมีการเผาซาก ก็ต้องถูกจัดเก็บภาษี ซึ่งต้องบริหารจัดการตรงนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นมีการพูดคุยกันที่ค่อนข้างรุนแรงในเรื่องนี้เหมือนกัน
ส่วนทางประเทศเมียนมาก็ต้องให้ฝ่ายทหารไปพูดคุยด้วย เพราะทราบพอดีว่าตรงพื้นที่ที่มีการเผาป่า เป็นพื้นที่ที่ประเทศเขามีปัญหาภายในบ้านเมืองของเขา ซึ่งเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการพูดคุยตลอดเวลา
สำหรับเรื่องมาตรการทางภาษีกับผู้ประกอบการ นายเศรษฐา ขยายความว่า สมมุติว่าภาคเอกชนมีการไปปลูกข้าวโพดที่ประเทศ สปป.ลาว และนำกลับเข้ามาจากประเทศไทย โดยหากภาครัฐพิสูจน์ได้ว่านำมาจากประเทศดังกล่าว และมีการเผาไหม้ซาก ก็จะมีการชาร์จภาษีเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ และจะนำเงินตรงนั้นมาช่วยหยุดไฟป่า หรือทำให้การบำบัดซากพืชผลได้พัฒนาทำอย่างอื่นได้อย่างเช่น ค่าขนส่ง ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนขานรับกับนโยบายนี้ เพราะว่าเป็นปัญหาใหญ่ เจ้าของกิจการ พนักงาน และลูกหลานของเขา ก็จะได้รับผลกระทบจากอากาศไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนพยายามทำกันอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณเที่ยงที่ผ่านมา นายกฯ ได้มีภารกิจแทรกด่วน โดยนำคณะ อาทิ รมว.อุตสาหกรรม รมช.เกษตรและสหกรณ์ และรมช.คลัง ลงพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ ฝั่งเกษรพลาซ่า โดยสรุป นายเศรษฐา กล่าวว่า การก่อสร้าง ตึกใดสามารถฉีดน้ำได้ ก็ต้องช่วยกันฉีด และทางกระทรวงอุตสาหกรรม ก็จะควบคุมการเผาอ้อย ไม่มีใครนิ่งนอนใจ ปัญหานี้กระทบทุกภาคส่วน ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว และสุขภาพของทุกคน ส่วนรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ เป็นเรื่องที่เราต้องดูแล ฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งควบคุมดูแลก็ต้องกำกับตรวจสอบสภาพรถ
“จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ควันดำอย่างเดียว ควันขาวหรือควันธรรมดา การตรวจสภาพรถยนต์ การที่เราจะต้องเปลี่ยนถ่ายไปสู่รถ EV เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องแค่รถไม่มีควันดำ ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ปล่อยมลพิษออกมา” นายก ระบุตอนหนึ่ง
จากปัญหาฝุ่นละออง pm 2.5 ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าเป็นฤดูกาลเพราะนั่นหมายถึงเรายอมรับปัญหา เรื่องนี้เราต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และต้องไม่ยอมรับมัน เรารู้อยู่แล้วว่าปัญหาจะมาในช่วงนี้ แต่อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวมันก็มาอยู่อยู่ไปเดี๋ยวจะหายไปเอง… pic.twitter.com/0DBFVfQhma
— Srettha Thavisin (@Thavisin) December 13, 2023










