ผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หญิงวัย 31 ปี เปิดเผยกับ workpointTODAY ถึงข้อสงสัยและกังวลกับผลการตรวจของตัวเอง เพราะ 2 รอบที่ตรวจในระยะเวลาห่างกันเพียง 3 วัน ปรากฎว่าผลไม่ตรงกัน
โดยครั้งที่ 1 เข้ารับการตรวจเชื้อเชิงรุก วันที่ 3 ก.ค. 2564 ผลระบุ ‘พบเชื้อ’ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเตียงไม่พอให้รอติดต่อกลับ จึงเข้าตรวจอีกครั้งที่ รพ.เอกชน ในวันที่ 6 ก.ค. 2564 โดยมีความหวังว่าจะสามารถหาเตียงพักรักษาตัวได้ จึงตรวจพร้อมกับคนสมาชิกในครอบครัวอีก 2 คน ปรากฎว่าผลตรวจออกมาช่วงค่ำวันที่ 6 ก.ค. ระบุว่า ทั้ง 3 คน ‘ไม่พบเชื้อ’
จึงสงสัยว่าทำไมถึงไม่พบเชื้อ รวมทั้งต้องปฏิบีติตัวอย่างไร
โดยทั้งหมดเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว
คนที่ 1 ที่ตรวจพบเชื้อ ฉีด ซิโนแวค 2 เข็ม
คนที่ 2 ฉีด ซิโนแวค 2 เข็ม
คนที่ 3 ผู้สูงอายุ ฉีด แอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม
เมื่อสอบถามกับ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบายเกี่ยวกับผลตรวจโควิด-19 ที่พบในกรณีนี้ ว่าสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากผู้เข้ารับการตรวจอาจมีเชื้อโควิด-19 จริง แต่เป็นเชื้อที่มีจำนวนน้อยมาก เป็นไปได้ที่ถัดมาอีก 3 วัน ตรวจอีกครั้งจะไม่พบเชื้อแล้ว ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการที่ผู้เข้ารับการตรวจรายนี้ ฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม ทำให้มีภูมิคุ้มกันในร่างกายอยู่ในระดับหนึ่ง หรือเขาอาจได้รับเชื้อมาแล้วระยะเวลาหนึ่งก่อนจะตรวจหรือเรียกได้ว่าหายแล้ว
“ซึ่งกรณีนี้พิสูจน์ได้ยาก เพราะหากเป็นคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จะสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันร่างกายได้ แต่รายนี้ถ้าตรวจอาจจะบอกไม่ได้ว่าภูมิคุ้มกันเกิดจากวัคซีนหรือเชื้อโควิด”
นพ.ศุภกิจ ยังกล่าวอีกว่า เมื่อผลตรวจครั้งที่ 2 ระบุว่า ไม่พบเชื้อ แสดงว่าไม่มีเชื้อโควิด-19 อยู่ในร่างกาย โดยให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวว่าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน แต่ยังต้องระมัดระวังตัวเอง หากยังต้องออกจากบ้านไปทำงานหรือทำธุระ ให้ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างจากโควิด-19 และหมั่นสังเกตอาการตัวเองอยู่เสมอ










