สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดผลสำรวจ คนไทยกว่า 3 แสนคน ขาดทุนจากเหรียญ LUNA มูลค่าความเสียหายรวมกันกว่า 980 ล้านบาท
มหากาพย์เหรียญ LUNA ยังไม่รู้จุดสิ้นสุด หลัง Stablecoin คู่ใจ UST หลุด Peg หรือหลุดมูลค่าที่ตรึงไว้กับเงินดอลลาร์ 1 UST : 1 USD เป็นครั้งแรก
แถมราคาเหรียญยังโดนซ้ำเติมจากการแก้ปัญหาของผู้ก่อตั้ง ‘โดควอน’ ที่ทั้งสั่งหยุดการซื้อขาย 1 วัน และยังประกาศเพิ่มปริมาณเหรียญ LUNA ในระบบกว่า 4 เท่าตัว เพราะหวังให้ UST กลับมาอยู่ในระดับเดิมอีกครั้ง
การล้มลงของ UST และ LUNA ในช่วงเดือน พ.ค. สั่นสะเทือนไปทั่ววงการคริปโตฯ ถึงขั้นมีคนกล่าวว่า นี่อาจเป็นจุดจบของโลกคริปโตฯ ก็เป็นได้
เหตุผลเพราะ เดิมทีเหรียญ UST ของ Terra เป็น Stablecoin ที่คนให้ความไว้วางใจ ถึงขนาดว่า ถ้าคุณเล่นคริปโตฯ แล้วหล่ะก็ คุณควรฝากเงินบางส่วนไว้ใน UST เพื่อป้องกันความเสี่ยง
ความเชื่อข้างต้น ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเผชิญกับขาดทุนภายในระยะเวลาไม่กี่คืน เลวร้ายถึงขนาดที่นักลงทุนบางรายเลือกจบชีวิตตัวเองเพราะเหตุการณ์นี้ด้วย
[ คนไทยกว่า 3 แสนคน สูญเงินจาก LUNA]
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยรายงานว่า มีคนไทยกว่า 3.1 แสนราย (315,077 บัญชี) เผชิญผลขาดทุนจาก LUNA และเกือบทั้งหมด หรือ 99% เป็นบัญชีผู้ลงทุนในประเทศ
ที่น่าสนใจ คือ กว่า 2.1 แสนบัญชี หรือราว 67% มีประสบการณ์ซื้อขายเหรียญประเภทอื่นมาก่อน แต่ยังไม่เคยซื้อ LUNA และเพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom out
อีกกว่า 9.6 พันบัญชี เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในเหรียญ LUNA เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3%

โดยสาเหตุ คาดว่ามาจากราคาเหรียญ LUNA ที่พุ่งสูงราว 400 เท่า จากจุดราคาต่ำสุด นักลงทุนจึงแห่กันเข้ามาซื้อ เพราะคิดว่าสามารถทำกำไรจากช่วงเวลาที่ราคาเกิดความผันผวนสูงได้
[ นักลงทุนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ]
พฤติกรรมประเภทนี้อาจอธิบายได้จากอคติเชิงพฤติกรรม (Behavioral Biases) ของผู้ซื้อขายที่มักพบว่ามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป (Overconfidence)
นั่นคือ คาดการณ์โอกาสที่จะได้กำไรสูงกว่าที่เป็น ในขณะที่ประเมินความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำกว่าความเป็นจริง
นอกจากนี้ ในอดีต LUNA เป็นเหรียญที่ติด 10 อันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก แถมผู้ก่อตั้งยังออกมาประกาศแผนฟื้นฟูที่จะกอบกู้สถานการณ์ของเหรียญ ทำให้มีผู้ซื้อขายหน้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อ LUNA พากันเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมาก
แต่ท้ายที่สุด พบว่า คนที่ขาดทุนกว่า 96% เป็นคนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom-out

[ มูลค่าความเสียหายรวมกันกว่า 980 ล้านบาท]
เมื่อสรุปผลกำไร/ขาดทุนของบัญชีในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประเทศไทย พบว่า มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ประมาณ 980 ล้านบาท
จากบทศึกษานี้จะเห็นได้ว่าผู้ซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น รวมถึงมีการลงทุนตามกระแส และให้ความสนใจกับตัวเลขผลตอบแทนที่สูงเป็นหลัก
โดยพร้อมที่จะยอมรับผลขาดทุนเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้กำไรสูงมากในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในบางครั้งอาจขาดการกระจายการลงทุน และประเมินถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ

ก.ล.ต. ทิ้งท้ายไว้ว่า ผลลัพธ์ของบทศึกษานี้จะช่วยสะท้อนให้เห็นผลกำไรขาดทุนของผู้ซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ตระหนักถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้ามาซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยโอกาสในการทำกำไรที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่ได้มีมากดังที่คาดหวังไว้
นอกจากนี้ ด้วยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนของราคาที่สูง ดังนั้นเงินที่นำมาลงทุนไม่ควรมาจากการกู้ยืมหรือเป็นเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหากสูญเสียเงินส่วนนี้ไปแล้วจะต้องไม่เป็นภาระต่อตัวเองและครอบครัว










