เมื่อโดรนราคาถูก สร้างความเสียหายระดับยุทธศาสตร์ ‘ปฏิบัติการใยแมงมุม’ แผนลับยูเครนทะลวงดินแดนรัสเซีย นักวิเคราะห์เตือน เกมโต้กลับอาจรุนแรงกว่าเดิม
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดความเคลื่อนไหวสำคัญในสงครามยูเครน–รัสเซีย เมื่อยูเครนเปิดปฏิบัติการเชิงลึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โจมตีฐานทัพอากาศรัสเซีย 4 แห่งที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ห่างจากแนวหน้าการสู้รบบนแผ่นดินยูเครนหลายพันกิโลเมตร
ปฏิบัติการนี้ไม่เพียงแสดงขีดความสามารถใหม่ของยูเครน แต่ยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า สงครามกำลังก้าวเข้าสู่ ‘บทใหม่’ ที่เทคโนโลยีราคาถูกอาจเขียนกฎการสู้รบขึ้นใหม่ทั้งหมด
ยูเครนเรียกปฏิบัติการดังกล่าวว่า ‘Operation Spiderweb’ หรือ ‘ปฏิบัติการใยแมงมุม’ โดยระบุว่าเป็นภารกิจลับที่วางแผนมานานถึง 18 เดือน ก่อนจะเปิดฉากโจมตีในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (1 มิ.ย.) ด้วยการส่งโดรนถึง 117 ลำ เข้าโจมตีเป้าหมายพร้อมกันแบบหลายทิศทาง
เป้าหมายการโจมตีประกอบด้วยฐานทัพอากาศสำคัญในหลายภูมิภาคของรัสเซียได้แก่
- เบลายา (Belaya) – เมืองอีร์คุตสค์ ในไซบีเรีย ห่างจากยูเครนราว 4,500 กิโลเมตร
- เดียกิเลโว (Dyagilevo) – เมืองเรียซัน ศูนย์ฝึกฝนเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ของรัสเซีย ห่างจากชายแดนยูเครนประมาณ 520 กิโลเมตร
- โอเลนยา (Olenya) – ใกล้เมืองมูร์มัสค์ ในวงกลมอาร์กติก ห่างจากยูเครนกว่า 2,000 กิโลเมตร
- อีวาโนโว (Ivanovo) – ฐานทัพขนส่งทางอากาศ ห่างจากยูเครนประมาณ 800 กิโลเมตร

การกระจายตัวของเป้าหมายครอบคลุมจากตะวันตกจรดตะวันออกเฉียงเหนือของรัสเซียเช่นนี้ จึงนับได้ว่าเป็นการสะท้อนขีดความสามารถใหม่ของยูเครนในการเจาะทะลุแนวลึกของศัตรูในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยูเครนอ้างว่า ปฏิบัติการนี้สามารถสร้างความเสียหายแก่ฝูงบินรัสเซียอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเครื่องบินเชิงยุทธศาสตร์อย่าง Tu-95, Tu-22M3 และ A-50 รวมกว่า 40 ลำ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 250,000 ล้านบาท
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับคำแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ที่ยอมรับว่ามีการโจมตีฐานทัพ 4-5 แห่ง และเกิดไฟลุกไหม้เครื่องบินหลายลำ แม้จะยืนยันว่าไม่มีผู้เสียชีวิต รัสเซียยังประณามการโจมตีว่าเป็น ‘การก่อการร้าย’ และอ้างว่าจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้หลายคน
โจมตีศัตรูจากภายใน ยุทธศาสตร์ที่ไม่มีใครคาดคิด
จุดเปลี่ยนสำคัญของปฏิบัติการนี้ไม่ใช่เพียงเป้าหมายที่ไกล แต่เป็น ‘วิธีการ’ ที่ยูเครนเลือกใช้ ไม่ใช่การยิงโดรนจากชายแดนตนเองแบบเดิม แต่เป็นการ ‘แทรกซึมภายใน’
ยูเครนลักลอบนำโดรนเข้าไปในรัสเซียโดยซ่อนในรถบรรทุก ที่มีการดัดแปลงหลังคาเป็นบ้านไม้จำลอง ก่อนจะปล่อยโดรนจากภายในรัสเซียเองแบบพร้อมเพรียง ด้วยระบบควบคุมระยะไกล
แผนการที่แนบเนียนเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่า ยูเครนไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีโดรนอย่างรวดเร็ว แต่ยังแทรกซึมระบบรักษาความปลอดภัยภายในของรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดคำถามตามมาถึงจุดอ่อนของระบบข่าวกรองและเรดาร์ของรัสเซียที่ปล่อยให้โดรนจำนวนมากโจมตีลึกถึงแนวหลังได้
ที่สำคัญกว่านั้น ผลกระทบของการโจมตีลึกขนาดนี้ ยังไม่ใช่แค่ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังหมายถึงสั่นคลอนขวัญและกำลังใจของฝ่ายรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อเห็นภาพเครื่องบินยุทธศาสตร์ถูกเผาไหม้ในฐานที่คิดว่าปลอดภัย
แผนลับต้นทุนต่ำ แต่ทำศัตรูเสียหายมหาศาล
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ยืนยันว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถูกวางแผนและเก็บข้อมูลอย่างละเอียดเป็นเวลากว่าปีครึ่ง และผลลัพธ์ที่ได้ถือว่า “ประสบความสำเร็จอย่างเต็มรูปแบบ”
ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนถึงกับเปรียบเทียบปฏิบัติการครั้งนี้กับเหตุการณ์ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ในปี 1941 คือโจมตีแบบไม่ให้ตั้งตัว สั่นคลอนความมั่นใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่า โดรนที่ใช้ไม่ใช่อาวุธล้ำสมัยระดับสูง แต่เป็นเทคโนโลยีระดับสนามรบทั่วไป แต่กลับทำลายยุทโธปกรณ์มูลค่ามหาศาลได้อย่างแม่นยำ ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ยูเครนกำลัง “เขียนกฎของสงครามขึ้นใหม่” โดยเฉพาะในสนามรบโดรน
จับตาเกมโต้กลับ อาจพลิกโฉมสงครามยูเครน
ความสำเร็จของยูเครนในครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีและการวางแผน แต่เป็นการท้าทายโดยตรงต่อโครงสร้างยุทธศาสตร์ทางอากาศของรัสเซียโดยตรง
หากมอสโกไม่สามารถปิดช่องโหว่นี้ได้ทัน ความเสียหายอาจลุกลามสู่ระดับโครงสร้าง ความได้เปรียบทางอากาศที่รัสเซียเคยมีอาจไม่เหลืออยู่ และนั่นอาจเปลี่ยนโฉมสงครามยูเครน–รัสเซียไปตลอดกาล คำถามในตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ “ยูเครนไปได้ไกลแค่ไหนแล้ว?” แต่คือ “รัสเซียจะทำอย่างไรต่อไป?”










