สำนักข่าว Bloomberg รายงานผลการศึกษาจากกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่เล่นวิดีโอเกม 3 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน (ในการทำการทดสอบ) มีความจำและการควบคุมแรงกระตุ้นได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นเกม
จากการศึกษาการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในสมองของวัยรุ่นอเมริกัน นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์การสแกนสมองจากเด็กประมาณ 2,000 คน ซึ่งเป็นเด็กอายุ 9 และ 10 ขวบ
โดยพบว่า เด็กที่เล่นเกมบ่อยๆ จะมีระดับออกซิเจนในเลือดสูงขึ้นในบริเวณสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้น แต่อาจทำให้กิจกรรมของสมองทางด้านการมองเห็นน้อยลง
Bader Chaarani ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ในเบอร์ลิงตันและผู้ทำการศึกษา กล่าวว่า เราไม่สามารถพูดได้ว่าการเล่นวิดีโอเกมเป็นประจำทำให้เกิดประสิทธิภาพทางประสาทที่ดีขึ้นหรือไม่ แต่ก็เป็นการค้นพบที่น่าสนใจและเป็นสิ่งที่เราต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้ ด้วยอุตสาหกรรมเกมที่พุ่งสูงขึ้นคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้าน และเด็กๆ ก็ยังใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับเกมโปรด ทำให้ผู้ปกครองกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากงานวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้านี้พบความเชื่อมโยงระหว่างวิดีโอเกมกับพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากขึ้น
ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงจะเป็นรายงานสำคัญที่ช่วยชี้ให้เห็นถึงข้อดีของวิดีโอเกม และความเป็นไปได้ที่จะทำให้การเล่นเกมเป็นงานอดิเรกถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดี
สำหรับแนวทางในปัจจุบัน สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association of Pediatrics) ยังสนับสนุนให้จำกัดเวลาเล่นวิดีโอเกมเป็น 1-2 ชั่วโมงต่อวัน
ในขณะเดียวกัน ประเทศอื่นๆ อย่างเช่นจีน ถึงขั้นไม่อนุญาตให้เด็กใช้เวลาเล่นวิดีโอเกมมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
ด้าน Nora Volkow ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้ยาเสพติด กล่าวว่า การศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของวิดีโอเกมกับพฤติกรรมและปัญหาสุขภาพจิต
แต่ถึงอย่างนั้น การศึกษาชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างทักษะความรู้ความเข้าใจของเด็ก และวิดีโอเกม ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เป็นที่นิยม จึงควรได้รับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในอนาคต
ที่มา :










