เปิดดูไส้ใน ‘เวียดนาม’ เศรษฐกิจแซงหน้าเพื่อนบ้าน แบบ ‘หัวโต’ แต่ตัวลีบ?

เปิดดูไส้ใน ‘เวียดนาม’ เศรษฐกิจแซงหน้าเพื่อนบ้าน แบบ ‘หัวโต’ แต่ตัวลีบ?

การเงิน

ไม่กี่ปีมานี้เราเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามอย่างก้าวกระโดดมาก กลายเป็นดาวรุ่งในอาเซียนทุกไตรมาสที่ประกาศ GDP ก็โตแรงแซงเพื่อนบ้าน จากข้อมูลบอกไว้ว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 6% ต่อปี สะท้อนจากตัวเลข GDP ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นกว่า 18 เท่า 

[ เศรษฐกิจขยายแต่ส่งไม่ถึงประชาชน ? ]

เวียดนามขับเคลื่อนประเทศภายใต้นโยบาย “โด๋ยเม้ย” (Doi Moi) ที่เน้นตลาดเสรีแต่ใช้ระบบการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ หรือเป็นการเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามามากขึ้น ซึ่งก็เปิดมานานตั้งแต่ปี 1980 แล้ว 

แต่ปัจจุบันเพิ่งมาเห็นการเติบโตที่ชัดขึ้น สภาพเศรษฐกิจดีขึ้นหลังจากต่างชาติเข้ามา เวียดนามได้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากที่สุดในภูมิภาค ในปี 2023 FDI สูงถึง 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลให้ภาคการส่งออกของเวียดนามเติบโตแบบก้าวกระโดด 

ถ้าย้อนดูแค่ปี 2007 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกเพียง 50,000 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 มูลค่าส่งออกพุ่งแตะ 385,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าในเวลาเพียง 16 ปี

แต่ที่น่ากังวลขึ้นคือ ด้วยความที่ประเทศมีต่างชาติเข้ามามากเกินไป เศรษฐกิจประเทศโตจริง แต่ผู้คนไม่ได้โตตามไปด้วย เพราะถ้ามาดูข้อมูลจะพบว่าในเวียดนามมีบริษัทต่างชาติคิดเป็น 72% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด แต่จ้างงานเพียง 10% ของแรงงานทั้งประเทศ และคิดเป็น 16% ของการลงทุนภายในประเทศ เท่านั้น 

พูดง่ายๆ ว่าบริษัทต่างชาติเข้ามาแต่ไม่ได้จ้างคนในชาติ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่น Samsung ที่เข้ามาลงทุนตั้โรงงานประกอบใหญ่ที่สุดในประเทศ อยู่ที่เมือง Pho Yen ใกล้ฮานอย มีการจ้างงานกว่า 160,000 คน และสร้างรายได้จากการส่งออกคิดเป็น 14% ของทั้งประเทศ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชิ้นส่วนหลักๆ ของ Samsung ยังคงผลิตในจีนหรือเกาหลีใต้ และเวียดนามทำหน้าที่เพียงขั้นตอนประกอบสุดท้าย ส่งผลให้มูลค่าเพิ่ม ของการส่งออกต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและไทย อีกทั้งผลิตภาพแรงงาน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลางในเอเชียถึง 37% ด้วย

[ เศรษฐกิจโต แรงงานเริ่มราคาแพง แต่ทักษะยังไม่พอ ]

อีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวลของเวียดนามคือ ในอดีตประเทศเคยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มี “ค่าแรงถูก” แต่ตอนนี้พอเศรษฐกิจมันโตดีมากๆ ทำให้ค่าแรงของคนเวียดนามก็สูงขึ้นเรื่อยๆ 

ค่าแรงขั้นต่ำในเมืองใหญ่ เช่น โฮจิมินห์ ซิตี้ และฮานอย อยู่ที่ราว 190 ดอลลาร์/เดือน (ประมาณ 6,300 บาท) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต ของเวียดนามสูงกว่าอินเดียและไทยแล้ว

และจากการคาดการณ์ของ Economist Intelligence Unit ค่าจ้างแรงงานในเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอีก 48% ภายในปี 2029 เวียดนามจึงเริ่มหมดข้อได้เปรียบด้านแรงงานราคาถูก แต่ในขณะเดียวกัน ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานและทักษะที่เพียงพอจะไปสู่เศรษฐกิจเทคโนโลยี

เพราะจำนวนประชากรในวัยแรงงาน (15–64 ปี) จะ ถึงจุดสูงสุดในปี 2030 และจากนั้นจะเริ่มลดลง ขณะที่ระหว่างปี 2014–2021 เวียดนามสูญเสียงานภาคเกษตรกว่า 1 ล้านตำแหน่งต่อปี

นอกจากนี้ เรื่องของการรศึกษาก็ยังเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดสำหรับแรงงานเวียดนามอีกมาก เพราะ สัดส่วนพนักงานรัฐที่มีวุฒิอุดมศึกษาสูงถึง 50% ในบริษัทต่างชาติเพียง 15% และบริษัทเวียดนามเพียง 5% 

ขณะที่ในด้านวิศวกรด้านชิปมีแรงงานเพียง 5,000 คน ซึ่งบริษัทใหญ่อุตสาหกรรมชิปเข้ามาลงทุนมากขึ้นในเวียดนาม แต่ถึงอย่างนั้นประเทศก็มีเป้าหมายต้องการเพิ่มเป็น 25,000 คนภายในปี 2030 

มันคงไม่ได้ง่ายๆ เพราะมหาวิทยาลัยถูกควบคุมเนื้อหาหลักสูตรโดยรัฐ เช่น นักศึกษาวิศวกรรมต้องเรียนวิชาลัทธิมาร์กซ์-เลนินและโฮจิมินห์ (วิชาการเมืองของเวียดนาม) ถึง 25% ของหลักสูตร พูดง่ายๆ ว่าหลักสูตรการศึกษาไม่ได้เอื้อให้แรงงานเข้าสู่บริษัทต่างชาติได้ง่าย ทั้งๆ ที่ประเทศมีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนเยอะ 

ถ้ามาดูกันที่ภาคธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะ SMEs กำลังเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าเป็นรายเล็กๆ SMEs การเข้าถึงแหล่งเงินทุนยังมีข้อจำกัดสูง ธนาคารต้องการหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าจับต้องได้ และระบบการอนุญาตประกอบธุรกิจและการใช้ที่ดินยังไม่คล่องตัว มีบริษัทขนาดใหญ่และกลุ่มทุนที่มีเส้นสายทางการเมืองเลยได้เปรียบในการแข่งขัน

พูดง่ายๆ ว่าทุนใหญ่ได้เปรียบ แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี ฉะนั้นรายใหม่หรือตัวเล็กก็อย่างหวังจะโตได้ เช่น VinFast บริษัทลูกของ Vingroup ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้กว่า 100,000 คันในปี 2024 แต่ยัง ขาดทุนสะสมกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2021 และโครงข่ายสถานีชาร์จรถในประเทศก็ถูกออกแบบให้ใช้ได้กับรถ VinFast เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้รัฐบาลเวียดนามก็กำลังปฏิรูปโครงสร้างประเทศใหม่อยู่ เช่น ลดพนักงานราชการลง และออกมาตรการลดภาษีให้กับธุรกิจที่ลงทุนใน วิจัยและพัฒนา (R&D) รวมถึงตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนภาคเอกชนจาก 50% สู่ 70% ของ GDP

มีเรื่องที่ต้องจับตาว่าเวียดนามจะเป็นดาวเด่นในอาเซียนได้อีกไหม เพราะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจขึ้นภาษีสินค้าเวียดนามถึง 46% ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าจะทำให้เวียดนามเสียศักยภาพการเติบโตในระยะยาวถึง 2.5 % ต่อปี และเวียดนามยังเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติอยู่บ่อยๆ 

ก็ต้องมาดูกันต่อว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เวียดนามคือกรณีศึกษาที่น่าจับตามองของประเทศที่เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจได้อย่างก้าวกระโดดในช่วง 30–40 ปีที่ผ่านมา 

โดยเฉพาะกับในทศวรรษนี้ เศรษฐกิจเวียดนามกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือ ประเทศไม่สามารถพึ่งพาการประกอบสินค้าและแรงงานราคาถูกได้อีกต่อไป แต่จำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มผลิตภาพ การสร้างนวัตกรรม และการปฏิรูประบบราชการให้เอื้อต่อภาคเอกชนจริงจัง

และนี่คือเรื่องราวของเวียดนามประเทศที่โดดเด่นในสายตาเพื่อนบ้านอาเซียน ทั้งด้วยอัตราการเติบโตและบทบาทในเวทีโลก แต่ภายใต้ความสำเร็จนั้น ยังมีโจทย์ซับซ้อนที่รอการคลี่คลายให้ประเทศแห่งนี้ไปข้างหน้าอยู่

ที่มา

        • https://www.economist.com/briefing/2025/05/22/vietnams-economy-is-booming-but-its-new-leader-is-worried
AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง